ณ ไร่รักษ์เขา จังหวัดเชียงราย
บริเวณชานบ้านที่มีสนามขี่ม้าอยู่ติดกัน ดวงตาสีน้ำตาลประกายหม่นจ้องเขม็งไปยังเจ้าม้าสีขาวตัวสูง มันชื่อเจ้าทิวา ม้างามตัวโปรดของพ่อเลี้ยงรักษา ทว่าตอนนี้เจ้าของกลับยังไม่สามารถขี่มันชมไร่ได้เช่นที่คุ้นเคย
"รักษา ทานยานะลูก" คุณรังสิมาวางยาเม็ดสีขาวลงบนฝ่ามือบุตรชาย รักษายอมทานยาอย่างว่าง่าย พร้อมกับดื่มน้ำจนเกือบหมดแก้ว
แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นทุกวัน รักษาไม่ยอมพูดคุยกับใครแม้แต่มารดา แววตาเศร้าหมองหันกลับไปจ้องมองเจ้าทิวาเช่นเดิม
คุณรังสิมาแอบถอนหายใจ หนักอกหนักใจกับอาการของบุตรชาย แม้เรื่องเลวร้ายจะผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะยังจำอะไรไม่ได้เลย
"อย่า! อย่าแตะต้องม้ากู!" รักษาตะโกนขึ้นดังสุดเสียง เขาตะโกนพูดคำนี้ด้วยอารมณ์โกรธทุกครั้งที่เห็นว่าใครเข้าใกล้ม้าของตน
มันเป็นคำพูดที่ทุกคนเริ่มคุ้นชินแล้ว รักษาจำมารดาของตนได้ จำคนสนิทบางคนได้ และแน่นอนว่าเขาจำเจ้าทิวาได้อย่างขึ้นใจ
"พ่อเลี้ยงครับ ผมแค่จะพาเจ้าทิวาไปกินหญ้า อีกอย่างม้าพ่อเลี้ยงก็ใช่จะให้ใครเข้าใกล้ได้ง่ายๆ นอกจากผม แล้วก็คุณ..."
วาคินนึกไปถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เจ้าทิวามันยอมให้เธอเข้าใกล้และสัมผัสได้จนน่าแปลกใจ แต่เขากลับเลือกที่จะไม่พูดถึงหญิงสาวคนนั้นให้เจ้านายได้ยิน
วาคินคือครูสอนขี่ม้าให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาพักในรีสอร์ตของไร่ และยังเป็นคนคอยดูแลม้าของรักษาอีกด้วย
"ไปเอาหญ้ามาให้ม้ากูกินตรงนี้ กูจะนั่งมองม้ากูอยู่แบบนี้" นั่นถือเป็นคำสั่งเฉกเช่นทุกวัน
คุณรังสิมาจึงพยักหน้าให้วาคินทำตาม เพราะนางไม่อยากเห็นบุตรชายโวยวายด้วยอารมณ์โกรธเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปยังคอกม้า
"รักษา แม่จะทำยังไงดีลูก..." คุณรังสิมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาด้านหลังบุตรชาย นางปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มลงมา เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ที่ท่วมท้นในหัวใจ
"คุณแม่ครับ" จังหวะเดียวกันนั้น รักษ์ตะวันก็เดินเข้ามานั่งลงข้างกายมารดา เขาเป็นพี่ชายของรักษา ทว่าทำงานเป็นคุณหมอที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ชายหนุ่มเดินทางกลับมาประเทศไทยตั้งแต่เกิดเรื่องราวเลวร้ายเมื่อเดือนก่อน และตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับไปทำงานแล้ว
"ตะวัน ลูกยังไม่กลับอเมริกาไม่ได้เหรอ รอให้น้องหายดีก่อนค่อยกลับไม่ได้เหรอลูก?" นางถามและกุมมือบุตรชายไว้
"คุณแม่ครับ ผมยังมีคนไข้อีกหลายชีวิตที่ต้องดูแล แต่ผมให้สัญญากับคุณแม่แล้ว ว่าอีกไม่เกินห้าปีผมจะกลับมาเป็นคุณหมอที่นี่"
"แล้วน้องล่ะ เราลองทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ทำไมดูเหมือนความทรงจำของรักษาจะไม่ยอมกลับมาเลย" นางร่ำไห้สะอึกสะอื้น
"เรื่องความทรงจำมันจะต้องใช้เวลานานหน่อยนะครับ แต่เราก็คุยกับคุณหมอของน้องแล้วนี่ครับ ว่ายังไงเขาก็ต้องหาย"
"แต่รักษาอารมณ์เกรี้ยวกราดมาก แทบไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้เลย ตัวแม่เองเขาก็ไม่ยอมคุยด้วย แล้วแบบนี้ใครกันที่จะคอยดูแลรักษาได้"
นางร่ำไห้ตัดพ้อ หัวอกคนเป็นแม่เอาแต่เป็นห่วงบุตรชาย ทั้งยังเป็นห่วงไร่สวนที่สามีสร้างไว้ให้ลูกๆ แต่ยังโชคดีที่มีวาคินและ'ภุชงค์'ผู้จัดการไร่หนุ่มคอยดูแลให้อยู่
"คุณแม่ก็ลองหาสาวๆ สวยๆ สักคนมาดูแลรักษาสิครับ บางทีความรักความเอาใจใส่จากสิ่งที่น้องรู้สึกว่าทำหล่นหายไปอาจจะพอช่วยได้นะครับ"
"จริงด้วย แต่ผู้หญิงคนไหนกันจะยอมแต่งงานกับผู้ชายที่อยู่ในสภาพแบบนี้ แม่กลัวว่าผู้หญิงเห็นสภาพรักษาแล้วมีแต่จะหนีไปไกลๆ" นางครุ่นคิดหนักใจ แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็อยากจะลองทำเพื่อให้รักษามีอาการดีขึ้น
คอกม้า
"นายนะนาย เมื่อไหร่จะหายดีนะครับ ไอ้คินนี่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว" วาคินเดินกลับมาที่คอกม้า เขาบ่นเพียงเพราะรักและเป็นห่วงเจ้านาย จึงไม่อยากเห็นรักษามีอาการเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว
"คุณคินบ่นอะไรคะ?" เสียงหวานเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าคนดูแลฟาร์มม้า
"อ้าว คุณเจียมาทำอะไรที่นี่ครับ ผมนึกว่าคุณกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วซะอีก" นิษฐาฉีกยิ้มกว้าง พลันกวาดสายตามองไปรอบๆ คอกม้า ที่ตนชอบมาให้หญ้าให้อาหารพวกมันตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่มาพักในรีสอร์ตของไร่รักษ์เขาแห่งนี้
"ใกล้จะกลับแล้วค่ะ อาทิตย์หน้าเจียมีงานสำคัญด้วย" นิษฐาหมายถึงงานแข่งม้าที่ตนลงแข่งขันในทุกๆ ปี
"ครับ ไว้กลับมาพักผ่อนที่รีสอร์ตของเราอีกนะครับ"
"กลับมาแน่นอนค่ะ เจียชอบที่นี่มาก คนไม่เยอะ สงบเป็นส่วนตัว แล้วก็บรรยากาศดีมาก ว่าแต่คุณคินจะไม่ยอมให้เจียลองขี่ม้าจริงๆ เหรอคะ?"
เพราะก่อนหน้านี้ทางรีสอร์ตเคยให้นักท่องเที่ยวขี่ม้าชมไร่ แต่เมื่อนิษฐามาถึงที่นี่กลับได้รับการปฏิเสธ เหตุผลเพราะว่าสถานที่ไม่เอื้ออำนวย
"ไม่ได้จริงๆ ครับ แล้วผมก็รู้สึกผิดมากจริงๆ ที่ไม่สามารถให้คุณเจียขี่ม้าได้ เอาแบบนี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวรอบหน้าคุณเจียกลับมา ผมจะเป็นคนสอนขี่ม้าให้คุณเจียแล้วก็พาขี่ชมไร่ทั้งวันเลย"
วาคินพูดด้วยรอยยิ้ม เพราะเห็นว่านิษฐาเป็นคนน่ารักอัธยาศัยดี เธอมีน้ำใจคอยมาช่วยตนดูแลคอกม้าทั้งที่เป็นถึงลูกค้าของรีสอร์ต
"แบบนั้นก็ได้ค่ะ" เมื่อวาคินยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้นิษฐาก็ไม่อยากเซ้าซี้
"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องเข็นหญ้าเอาไปให้ม้าที่สนามข้างบ้านเจ้านาย"
"เจ้าทิวาน่ะเหรอคะ?"
"ใช่ครับ"
"แล้วทำไมไม่จูงกลับมากินที่คอกล่ะคะ เจียอยากเห็นเจ้าทิวาก่อนกลับ"
"เจ้านายผมเขาอยากนั่งมองเจ้าทิวากินหญ้าอยู่ตรงนั้นทั้งวัน ผมก็เลยต้องมาเข็นหญ้าไปให้เจ้าทิวาที่นู่น"
"แปลกเนอะ แต่ไหนๆ เจียก็จะกลับกรุงเทพฯแล้ว เจียขอเอาหญ้าไปให้เจ้าทิวาด้วยตัวเองนะคะ" เธอไม่พูดเปล่า แล้วเดินเข้ามาช่วยหอบหญ้าใส่รถด้วยท่าทางอารมณ์ดี
วาคินเลิ่กลั่ก เพราะต้องพยายามหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้หญิงสาวเข้าไปใกล้เจ้าทิวาต่อหน้าพ่อเลี้ยงรักษา
อีกอย่างเธอจะรู้ถึงอาการป่วยของเจ้าของไร่ไม่ได้เด็ดขาด ไหนจะอารมณ์เกรี้ยวกราดของเขาอีกด้วย
"ผมว่ามันคงไม่ดีหรอกครับ"
"ไม่ยอมให้เจียขี่ม้าแล้ว เพราะฉะนั้นต้องยอมให้เจียเอาหญ้าไปให้เจ้าทิวาค่ะ" หญิงสาวพูดแล้วจึงเข็นรถหญ้าเดินตรงไปยังสนามม้าที่อยู่ติดกับบ้านของเจ้าของไร่
"เอาแล้ว ซวยแน่ๆ" วาคินได้แต่บ่น เพราะเขาเองก็ไม่อยากปฏิเสธนิษฐาไปมากกว่านี้ จึงได้แต่เดินตามหลังหญิงสาวไป
นิษฐาเข็นรถหญ้ามาจนถึงสนามที่เจ้าทิวายืนอยู่ เธอฉีกยิ้มดีใจก่อนจะเปิดประตูและเข็นรถเข้าไป โดยที่ไม่รู้ว่าสายตาของพ่อเลี้ยงรักษากำลังจับจ้องมองมายังตน รวมถึงคุณรังสิมาและรักษ์ตะวันที่มองดูสถานการณ์อยู่ด้วยความหวาดหวั่นใจ
"คุณเจียครับ คุณเข็นรถมาแค่นี้ก็พอแล้วครับ คุณยืนดูอยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมจะเป็นคนเอาหญ้าไปให้เจ้าทิวาเอง" วาคินรีบวิ่งเข้ามาแย่งรถเข็นหญ้าจากมือของหญิงสาว
"ให้เจียช่วยดีกว่าค่ะ จะได้เสร็จเร็วๆ" และเธอก็ไม่ยอมฟัง ร่างสมส่วนเดินไปหอบหญ้าและเดินเอาไปให้เจ้าทิวา ทั้งยังป้อนหญ้าให้เจ้าม้าตัวสวยกินจากมือของตนอีกด้วย
"ซวยแน่ๆ กู" วาคินพึมพำคนเดียว แล้วจึงหันไปมองรักษา เขากำลังลุกขึ้นยืน และจ้องมองนิษฐาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด