ตอนที่ 1 พ่อมดผู้ชั่วร้าย(2)

3023 คำ
ไคลน์เดินทางมายังแมนฮัตตันตามคำเชิญของ ‘เซรีน่า แมคคอล’ ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าน่าจะเป็นคนที่รักเขามากกว่าใครในโลกใบนี้ แต่พอเขาอายุสิบขวบ เขาก็ได้บทเรียนแล้วว่าสายเลือดเดียวกันไม่ใช่สิ่งยืนยันว่าเขาจะได้รับความรักอันแสนบริสุทธิ์ไร้เงื่อนไขนั้น นอกเหนือจากนั้นคำว่า ‘คนใกล้ตัวร้ายที่สุด’ ก็คือประโยคที่ทำให้ไคลน์รู้ซึ้งและเรียนรู้คำๆ นี้ด้วยความเจ็บปวดทั้งชีวิตเช่นเดียวกัน เพราะเซรีน่า แมคคอลทำให้ครั้งหนึ่งเพนเดิลตันเกือบล่มสลาย แล้วหลังจากนั้นผู้หญิงคนนี้ก็หอบเงินหนีไปกับชายชู้ ทิ้งลูกชายคนเดียวไปอย่างไม่แยแสสิ่งใด และทิ้งผู้ชายคนหนึ่งให้ตายลงอย่างช้าๆ ด้วยอาการของคนหัวใจสลาย ซึ่งผู้ชายที่ตรอมใจจนตายคือบิดาผู้อ่อนแอของเขาและลูกที่ถูกทิ้งก็คือเขา! ส่วนผู้เป็นแม่หรือ...ก็คือเซเรน่าซึ่งหนีตามจอร์จ แมคคอลไปเสวยสุขและตั้งธุรกิจใหม่กันที่อเมริกาน่ะสิ! และตอนนี้ธุรกิจของพวกแมคคอลกำลังล่มสลาย...จะบอกว่าด้วยน้ำมือของเขาเองก็คงไม่ผิดนัก เพราะไคลน์คือเบื้องหลังที่ทุบหุ้นของ แมคคอลจนติดตัวแดงร่วงกราวรูด ส่งผลให้นักลงทุนเทขายทิ้งไปพร้อมกับสบถก่นด่าพวกแมคคอลไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี ค่าที่ทำให้พวกเขาขาดทุนอย่างหนักขนาดที่บางคนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็มี! หึ! แต่นั่นไม่ได้สาแก่ใจเขาสักนิดเดียว! ไคลน์คิดอย่างหยามหยัน ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าเซเรน่า แมคคอลแล้วในตอนนี้ เธอเป็นสตรีรูปร่างผอมบาง ยังคงดูสวยแม้ว่าวัยจะล่วงเลยมาเกือบหกสิบปีแล้วก็ตามที ทว่าความหยิ่งและถือตัวของเธอกลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย เขากับเซเรน่าไม่ได้มีความรู้สึกฉันแม่ลูกกันสักนิด ยิ่งหลังการตายของผู้เป็นบิดา ไคลน์ยิ่งไม่เคยรู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเขา เธอก็เป็นเพียงคนที่คลอดเขาออกมา แต่เธอไม่ใช่แม่ของเขา “ไคลน์ลูกรัก” เสียงหวานๆ ของเซเรน่าดังขึ้นเมื่อไคลน์ทรุดนั่งลงเรียบร้อยแล้ว “กว่าจะเชิญลูกมาหาแม่ได้ช่างลำบากนัก” “มิสซิสแมคคอล” ไคลน์เรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีอะไรพูดกันตรงๆ ดีกว่า” “แหม…ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย เราไม่ได้เจอกันมาตั้งกี่ปี ยังทำท่าปั้นปึ่งใส่แม่อยู่ได้” “อย่าแทนตัวเองว่าเป็นแม่ของผม ผมไม่มีแม่” ไคลน์ตอบอย่างหยิ่งยะโส ส่งผลให้เซเรน่าสะอึก รับรู้ได้ว่าการเจรจากับไคลน์หลังจากพยายามติดต่ออยู่นานเกือบครึ่งปีไม่ง่ายเสียแล้ว ไคลน์ไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่ร้องไห้ตามเธออีกต่อไป และตอนนี้ดวงตาสีน้ำเงินอันงดงามของเขาก็มองเธอราวกับเป็นคนที่ไม่รู้จักเสียด้วย “โธ่ไคลน์ลูกรัก ยังโกรธแม่เรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ?” “ผมไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนรู้จักอยู่แล้ว” ชายหนุ่มสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอาล่ะ เราเลิกเถียงกันเรื่องนี้ดีกว่า” เซเรน่าเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นลางแพ้ของตัวเองมาแต่ไกล “ว่าแต่ลูกได้พิจารณาเอกสารที่แม่ส่งไปให้ดูแล้วหรือยัง” “เอกสาร?” ไคลน์ทวนคำเสียงสูงราวกับเป็นคำถามทั้งๆ ที่รู้ดีว่า เซเรน่าหมายถึงเรื่องอะไร “นี่ลูกยังไม่ได้ดูอีกเหรอ?” เซเรน่าเอ่ยเสียงสูง แล้วไม่รอฟังคำตอบใดๆ เจ้าหล่อนก็หันไปทางชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่มุมห้องแล้วพูดว่า “แพท เอาเอกสารมาให้พี่เขาสิลูก” ไคลน์ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเท่าใดนัก “อย่าเอาใครมานับญาติกับผม เพราะผมไม่คิดจะนับญาติกับพวกคุณ!” ชายหนุ่มเอ่ยไปตรงๆ ส่งผลให้เซเรน่าหน้าเสีย ทว่าไอ้คนที่ชื่อแพท ซึ่งดูก็รู้ว่าอายุน้อยกว่าเขาอยู่หลายปีกลับจ้องมองเขานิ่งๆ ด้วยสายตาคล้ายกับจะท้าทายอยู่ในที ไคลน์จึงได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายกลับด้วยสายตาเดียวกัน “นี่เป็นเอกสาร...” “พอเถอะ ผมไม่สนใจ แล้วที่มาที่นี่ไม่ใช่เพราะจะต้องการตกลงร่วมหุ้นอะไรกับพวกแมคคอล ผมมาเพราะมีธุระกับเพื่อนต่างหาก ส่วนธุรกิจของพวกคุณน่ะเหรอ...” เขาเหยียดยิ้มเยาะหยันตรงมุมปาก “...ขยะชัดๆ เอาไปทำไมให้รกหูรกตา รกสมองที่จะต้องกอบกู้มันขึ้นมา” “ไคลน์!” คำพูดร้ายกาจของผู้เป็นลูกชายทำให้เซเรน่าขึงตาใส่อีกฝ่าย เธอจ้องมองเจ้าของคำพูดร้ายกาจนั่นเขม็ง “ก็หรือไม่จริง แมคคอลใกล้จะตายแล้วนี่ ธนาคารหรือที่ไหนก็ไม่ปล่อยให้พวกคุณกู้ แล้วผมจะเข้าไปให้เจ็บตัวทำไม” ไคลน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน จ้องมองร่างของผู้ที่ให้กำเนิดเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน สะใจ ที่เขามาที่นี่ก็แค่อยากเห็นเซเรน่าสั่นสะท้านแบบนี้กับตาตัวเองเท่านั้นแหละในยามที่เขาปฏิเสธเธอ และเขาจะไม่ยอมช่วยเหลือเธอไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น! “นั่นเป็นเพราะนายไม่ใช่เหรอเพนเดิลตัน” แพททริก แมคคอลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา จ้องมองผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายที่เขาไม่คิดจะนับญาติกับมันเลยแม้แต่น้อย “ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไมล่ะ” ไคลน์ปฏิเสธเสียงทุ้มต่ำ มองหน้าคนพูดด้วยสายตาเย้ยหยัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นเป็นฝีมือของเขา ก็นับว่าไอ้เด็กนี่ไม่เลว แต่สงครามของเขากับพวกแมคคอลมันก็แค่เพิ่งเริ่มเท่านั้นแหละ จนกว่าเขาจะกวาดให้พวกนี้ทุกคนดิ้นทุรนทุรายเหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่งให้ได้...เขาจะไม่ยอมรามือโดยเด็ดขาด! เมื่อคนตรงหน้าไม่พูดอะไร ไคลน์ก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องพักของโรงแรมด้วยสีหน้าเฉยชา เขาไม่มีอารมณ์มาฟังคำพูดไร้สาระของใคร...คืนนี้เขามีนัด “เดี๋ยวไคลน์” เซเรน่าหันไปรั้งตัวผู้เป็นลูกชายเอาไว้ ไคลน์ไม่ตอบอะไร ทว่าก็ยอมเอี้ยวตัวหันไปมองเซเรน่าด้วยหางตา “แม่อยากกินข้าวเย็นกับลูก ยังไงก็เจอกันตอนหนึ่งทุ่มที่บ้านด้วยล่ะ” “ทำไม?” ไคลน์ถามสั้นๆ เซเรน่าถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ขอ...” ไคลน์ได้แต่เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มหยัน ก่อนจะจ้องมองเซเรน่าตรงๆ พร้อมกับตอบสั้นๆ เพียงแค่ว่า “ไม่มีวัน!” “ทำไมเราต้องไปก้มหัวขอร้องมันด้วยมัม ผมไม่เข้าใจ” แพททริก แมคคอลเอ่ยขึ้นหลังจากที่ไคลน์เดินออกไปจากห้องแล้ว เขาจ้องมองผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เพราะเหมือนกับท่านกำลังก้มหัวขอร้องมันทั้งๆ ที่รู้แก่ใจกันดีว่าที่แมคคอลถึงวิกฤตขนาดนี้ก็เพราะไอ้ตัวร้ายนั่นแหละ! Shit! “ได้ไคลน์มาช่วยหนุนหลัง รับรองว่าแมคคอลของเราทะยานไปไกลได้มากกว่านี้ แกก็อย่าเอาแต่โมโห ทำไมไม่ช่วยคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมไคลน์ล่ะ!” เซเรน่าเอ่ยกับผู้เป็นลูกชายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด อารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด “ใครจะไปเดาใจลูกชายแม่ได้ถูกล่ะ” “นั่นก็พี่ชายลูกนะ!” “แม่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่!” แพททริกสวนกลับทันควัน “แพท!” “เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้กันเสียที” แพทริกตัดบทด้วยน้ำเสียงรำคาญ “แล้วทีนี้แม่จะเอายังไงต่อ” “ก็หาทางกล่อมไคลน์น่ะสิ” “จะกล่อมได้เหรอ มันเคยเห็นแม่เป็นแม่หรือไง” “เอ๊ะ!” คราวนี้เซเรน่าแสดงสีหน้าไม่พอใจมากยิ่งขึ้น “แล้วแกจะขัดฉันให้มันได้อะไร ถ้าไม่ช่วยคิดก็ไปไกลๆ ” “งั้นให้ผมจัดการเองเอาไหม ช้าหน่อยแต่ชัวร์” “มีวิธีหรือไง” ถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย คราวนี้แพททริกคลี่ยิ้มเย็นออกมา รอยยิ้มนี้ต้องยอมรับว่าคล้ายคลึงกับไคลน์เป็นอย่างยิ่ง “แน่นอน…” หลังจากรับปากผู้เป็นมารดา ไม่นานแพททริกก็ติดต่อเพื่อนสนิทของเขาเพื่อให้ช่วยเหลือในเรื่องอะไรบางอย่าง “วิโต” แพทริกเรียกชื่อปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ว่าไง” วิโต เอราโม่ มาเฟียหนุ่มหนึ่งในก๊วนเพื่อนของแพททริกเอ่ยตอบมาตามสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฝ่ายนั้นเป็นทายาทของแก๊งมาเฟียใหญ่ที่คุมย่านลิตเติ้ลอิตาลีอยู่ในขณะนี้ ถ้าแม่ของเขาใช้แผนธรรมดาๆ แล้วมันไม่ได้ผล เขาก็ต้องเล่นวิธี ซิกแซกใต้ดินนั่นแหละ! ไคลน์ เพนเดิลตัน...เป็นพ่อมดการเงินที่ร้ายกาจและน่ารังเกียจ สื่อต่างพูดว่าเขาเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งและไม่มีจุดอ่อน ไม่จริง! มนุษย์ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนอยู่ในตัว และไคลน์ เพนเดิลตันก็ไม่มีทางยกเว้นไปจากความจริงข้อนี้ไปได้ และถ้าตอนนี้จุดอ่อนของมันยังไม่เปิดเผยออกมา เขาก็จะสร้างให้มันเอง! “หาคนให้ฉันหน่อยสิ...” “เอาไปทำไม?” อีกฝ่ายถามกลับอย่างรวดเร็ว แพททริกยิ้มเหี้ยม ก่อนจะตอบสั้นๆ เพียงแค่ว่า “เหยื่อ” “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” “ผู้หญิงสิ” “แล้วแกจะเอาไปล่อใครวะแพท” คราวนี้น้ำเสียงของทายาทมาเฟียเต็มไปด้วยความสงสัย ดวงตาแพททริกเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยแผนการ ก่อนจะตอบคำถามของเพื่อนซี้ว่า “พ่อมด...” “หืม?” วิโตครางในลำคอด้วยน้ำเสียงเป็นคำถาม แต่กลับไม่ได้รับคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมนอกจากย้ำเรื่องเหยื่อผู้หญิง และสเปกของเหยื่อที่ต้องการ จากนั้นก็บอกแค่ว่าจะติดต่อกลับไปอีกทีในวันพรุ่งนี้ว่าจะให้เขาเตรียมอะไรให้มันอีกบ้าง ไอ้ห่าแพทมันคิดจะทำอะไรของมันถึงได้สั่งให้หาผู้หญิงและยาให้มัน! “สวัสดีค่ะ คุ้มภูคำยินดีต้อนรับค่ะ” ร่างเล็กๆ ที่อยู่ในชุดไทยแขนกระบอกสีม่วงกล้วยไม้ นุ่งซิ่นสีเดียวกันกำลังยืนทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าจากหน้าร้าน ก่อนจะพาสองสามีภรรยาชาวอเมริกันไปยังโต๊ะอาหารซึ่งบัดนี้ภายในร้านกำลังแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง มนสิการส่งยิ้มอ่อนหวานและการบริการอย่างนอบน้อมเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น ‘มนสิการ จงสถิตถ์’ เป็นสาวไทยร่างเล็กดูน่าทะนุถนอม เธอสูงราวๆ ร้อยห้าสิบเจ็ดเซ็นติเมตร ซึ่งจัดว่าตัวเล็กมากหากเทียบกับสาวอเมริกัน ทว่าก็เป็นความสูงตามมาตรฐานหญิงไทย มนสิการมีใบหน้ารูปหัวใจเรียวเล็ก ใบหน้าสวยหวานและดวงตาโตเรียวยาวดูหวานบาดใจคนมอง จมูกโด่งเล็กและริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนมีสุขภาพดี หญิงสาวอายุยี่สิบสองแล้วในปีนี้ มนสิการเพิ่งมาถึงอเมริกาได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น เธอมาเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมและอาจจะเรียนต่อถ้าหากผลการยื่นเอกสารขอเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของเธอผ่าน ในระหว่างนี้มนสิการเลยได้แต่ช่วยงานร้านอาหารของคุณป้าซึ่งเป็นเพื่อนกับแม่ของเธอ และเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะท่านเคยอยู่ข้างบ้านเธอมาก่อนจะย้ายตามสามีใหม่ซึ่งเป็นชาวอเมริกันมาลงหลักปักฐานที่นี่ มนสิการทำงานในร้านนี้ฆ่าเวลาเท่านั้นไม่ได้คิดจะทำอย่างจริงจังเพราะกลัวว่าจะผิดกฏของวีซ่า แม้จะรู้อยู่ว่าบางครั้งก็มีคนแหกกฎข้อนี้แต่เธอไม่อยากจะทำมันเท่าไรนักหากไม่จำเป็นจริงๆ อย่างเช่นที่ร้านวันนี้ขาดเด็กเสิร์ฟเนื่องจากมีคนลาออกนั่นเอง อันที่จริงฐานะทางบ้านของมนสิการไม่ได้ร่ำรวยนัก หากเธอก็ไม่ได้ขัดสน ที่บ้านของเธอเป็นเพียงครอบครัวฐานะปานกลางครอบครัวหนึ่งเท่านั้น โชคดีที่ว่าพี่ชายทั้งสองของเธอได้งานที่ดีและมีเงินเดือนสูงกันทุกคน จึงพอจะมีกำลังส่งเธอมาเรียนที่นี่เป็นการเปิดหูเปิดตาได้บ้าง สองคนนั้นบอกว่ามีพวกเขาช่วยดูแลที่บ้านและอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง ให้น้องสาวออกไปเผชิญโลกดีกว่าจะหมกตัวอยู่ในโลกแคบๆ “มน เอาไปเสิร์ฟโต๊ะวีไอพีสี่ด้วยนะ” เสียงเรียกของคุณป้าอัมพาดังขึ้นจากทางเคาน์เตอร์ทำให้มนสิการซึ่งส่งแขกสองสามีภรรยาคู่นั้นเรียบร้อยแล้ว และกำลังเอาออเดอร์ไปส่งที่โต๊ะผงกศีรษะรับ พอส่งออเดอร์ให้กับห้องครัวแล้วเธอก็เอาอาหารไปเสิร์ฟโต๊ะ วีไอพีสี่ทันที โซนวีไอพีของคุ้มภูคำนั้นอยู่บริเวณชั้นสองของร้าน ซึ่งส่วนนี้จะเงียบสงบและดูเป็นส่วนตัวกว่ากันมาก คุ้มภูคำจัดเป็นภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งที่มักจะมีผู้คนแวะเวียนมาเสมอ และบางครั้งบางคราก็มีคนดังแวะเวียนเข้ามาใช้บริการด้วย เนื่องจากรสชาติอาหารที่อร่อยถูกปากแล้ว บริการก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมและแตกต่างจากที่อื่นๆ ด้วย มนสิการนำต้มยำกุ้งซึ่งถูกปรับรสชาติให้ถูกปากชาวอเมริกันไปยังโต๊ะวีไอพีสี่ ก็เห็นว่าที่โต๊ะนั้นมีชายหนุ่มห้าคนนั่งสนทนากันอยู่ พวกเขาเป็น ชายหนุ่มที่หน้าตาดีมากจริงๆ ราวกับนายแบบทุกคน ทว่าบุคคลที่ทำให้เธอแทบเดินสะดุดเพราะสายตาคมกริบสีน้ำเงินอันเยือกเย็นของเขาดูจะสะดุดตาเธอมากที่สุด เพราะใบหน้าหล่อเหลาแบบร้ายกาจ ผสมกับความเย็นชาทำให้เธอได้แต่รีบเสิร์ฟอาหารแล้วเดินถอยฉากออกไปอย่างรวดเร็ว “มองตาเป็นมันเลยนะไคลน์ สนใจหรือไง” ‘อเล็กซิส คอนสแตนติน’ เอ่ยถามกึ่งแซวขึ้น หลังจากที่สาวเสิร์ฟที่ดูตัวเล็กราวกับเด็กประถมเดินจากไป นี่ถ้าไม่เห็นว่ามีหน้าอกนะ เขาอาจจะไปฟ้องกรมแรงงานแล้วว่าที่นี่ใช้แรงงานเด็ก แถมเป็นเด็กต่างด้าวหน้าสวยซะด้วย! “หุบปากน่าอเล็กซ์” คนถูกแซวเอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ เขาก็แค่มองเจ้าหล่อนเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรด้วยทั้งสิ้น “แล้วนายมาที่นี่ มีธุระอะไรด่วนเหรอวะ?” ‘ราฟาเอล มอนเตมาราโน’ เอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง มองคนที่เป็นไปได้ไม่เคยจะนัดเพื่อนฝูงเจอกันที่นี่มาก่อน เพราะเป็นที่รู้กันว่าไคลน์ เพนเดิลตันจะไม่มาเหยียบแมนฮัตตันถ้าไม่จำเป็น “นั่นสิ ฉันก็สงสัยเหมือนกัน” ‘เลอานโดร อัลวาราโด’ เอ่ยขึ้นพลางจ้องมองไคลน์ด้วยสีหน้าเป็นคำถามด้วยอีกคน คราวนี้หนุ่มอังกฤษเลยหันไปจ้องมองเพื่อนสนิทคนสุดท้าย ราวกับจะถามอีกฝ่ายว่าต้องการถามเขาเหมือนคนอื่นหรือเปล่า ‘มาเรียส วาคอนซีเลส’ ได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะยักไหล่โดยไม่พูดอะไร “ก็แค่มาธุระนิดหน่อย” ไคลน์ตอบสั้นๆ ก่อนจะเบนสายตาหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะ “ไม่นิดแล้วมั้ง นายติดต่อพวกแมคคอลนี่” มาเรียส คนที่นั่งนิ่งเฉยเอ่ยขึ้นแล้วมองสบตากับคนที่ได้ฉายาว่าเป็นพ่อมดด้วยสายตารู้เท่าทัน อาจเป็นเพราะเขาอยู่แถวนี้ก็ได้กระมัง ถึงได้พอจะรู้เรื่องอะไรๆ มากกว่าชาวบ้านอยู่บ้าง “ไหนว่าตัดขาด?” อเล็กซิสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสงสัย ส่งผลให้เลอานโดรกับราฟาเอลมองหน้าไคลน์เป็นเชิงรอฟังคำตอบด้วยคน “ก็ตัด...แต่คราวนี้มาเพราะธุรกิจ เฮ้ย! ธุรกิจจริงๆ !” พ่อมดการเงินย้ำด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พลางมองหน้าไอ้คนที่เอาเรื่องของเขามาขาย ทั้งๆ ที่มันเป็นความลับ ไม่ต้องสงสัยว่าไอ้มาเรียสน่าจะมีเอี่ยวไม่มากก็น้อยแหละเกี่ยวกับธุรกิจของพวกแมคคอล “ธุรกิจกับพวกแมคคอลเนี่ยนะ” น้ำเสียงราฟาเอลเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “แกต้องประสาทกลับไปแล้วแน่ๆ ไคลน์” “คงอย่างนั้น” ไคลน์พึมพำตอบ “นี่…” เลอานโดรเอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากเงียบฟัง และคิดตามอยู่เกือบนาทีก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด รู้อยู่แก่ใจกันทุกคนว่ามีไคลน์ เพนเดิลตัน ต้องไม่มีแมคคอล แล้วทำไมจู่ๆ ไคลน์ถึงจะเปลี่ยนใจ ในที่นี้น่าจะเป็นการร่วมทุน ร่วมหุ้น หรืออะไรก็ตามแต่กับพวกนี้ได้ ซึ่ง…เลอานโดรรู้จักกับไคลน์ เพนเดินตันมาเป็นสิบปี เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเรื่องนี้จะไม่มีอะไรหลบซ่อนอยู่ “บอกมาเถอะว่าแกมีแผนอะไรอยู่กันแน่” “ถ้าบอก...” พ่อมดหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “มันก็ไม่เรียกว่าแผนสิวะ” “ฉันจะรอดู...” มาเรียสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นตบท้าย ขณะที่ไคลน์ได้แต่เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มแล้วยักไหล่ ส่งผลให้เลอานโดร อเล็กซิส และ ราฟาเอลเลิกซักถามตัวต้นเหตุทันที เพราะรู้ดีว่าถามไปถ้าไม่อยากตอบไคลน์ก็จะไม่ตอบ และพวกเขาก็คงได้แต่รอดูเรื่องสนุกกันแล้วสินะ!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม