Episode 02 แพ้ ชนะ?
เสียงลูกเต๋าที่กลิ้งไปมาตามแรงเขย่าเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังขึ้นในตอนนี้เนื่องจากตอนนี้บรรยากาศรอบๆ ตัวตกอยู่ภายใต้ความเงียบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“สูง หรือ ต่ำคะ”
คำตอบที่จะชี้ชะตาเธอทำให้เธอรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่นับว่ายังโชคดีที่คราวนี้เธอไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกก่อน เธอจ้องมองไปยังแววตาลึกลับที่ยากจะคาดเดาของอีกฝ่าย ปลายนิ้วเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะสองสามทีโดยที่สายตายังคงจ้องมองมาที่คนตัวเล็กที่นั่งรอฟังคำตอบของเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม
“สูง”
“สูง” คนตัวเล็กรีบตอบตามอีกฝ่ายในทันที ทำให้เจโรมยกยิ้มมุมปากให้กับความเจ้าเล่ห์ของคนตัวเล็ก
“สูง เสมอค่ะ”
“แย่ละสิ 3 ต่อ 3 แล้วมาดวลอีกรอบให้รู้แพ้ชนะกันดีกว่าไหม?” ชายหนุ่มยกคิ้วหนาเลิกขึ้นถามพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกสยดสยองจนไรขนอ่อนลุกชันไปทั่วเรือนร่าง
“ฉันก็อยากต่อให้รู้แพ้รู้ชนะเหมือนกันนั่นแหละ แต่วันนี้ฉันไม่มีเวลาแล้วไว้คราวหน้าจะให้นายแก้มือใหม่แล้วกัน” คนตัวเล็กเชิดหน้าตอบด้วยท่าทางหยิ่งยโสเหมือนเคย ก่อนจะหยิบกระเป๋าคลัตช์ใบเล็กสีดำของตัวเองเตรียมลุกเดินจากไป
เธอรีบลุกเดินออกมาจากโต๊ะด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่สามารถผ่านพ้นสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวต้นแขนของเธอก็ถูกรั้งเอาไว้จากทางด้านหลังเสียก่อน
“อ๊ะ!” หญิงสาวร้องอุทานออกมาเสียงแหลมหันกลับไปมองเจ้าของมือหนาที่คว้าต้นแขนเธอเอาไว้ด้วยสีหน้ามีคำถาม
“เมื่อไหร่ดี?”
“อะไรเมื่อไหร่?” เธอเอียงคอถามทวนคำถามของเจโรมด้วยความไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะสื่อถึงเรื่องอะไร
“แก้มือไง จะแก้มือเมื่อไหร่ดี?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ พลางออกแรงดึงร่างบางให้เซเข้าประชิดตัวเบาๆ ทำให้ตอนนี้เธอกับเขาอยู่ห่างจากกันเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น
ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เธอได้สังเกต และจดจำใบหน้าคมคายของเขาชัดๆ เช่นเดียวกับเขาเองที่พยายามจดจำใบหน้าของเธออย่างเปิดเผยไม่ต่างกัน
“ไม่รู้สิ ถ้ามีโอกาสคงได้แก้มือกันใหม่ แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว”
“ทำไมกลัวแพ้เหรอ?”
“กลัวสายตาเจ้าเล่ห์ของคุณมากกว่า ดูก็รู้ว่าเป็นพวกคิดไม่ซื่อ” คนตัวเล็กบอกพร้อมกับดึงมือหนาที่จับต้นแขนเธอเอาไว้ออกเบาๆ ซึ่งเขาเองก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี
“งั้นบอกหน่อยสิว่าเธอชื่ออะไร”
“จำเป็นด้วยเหรอ ในเมื่อเราคงไม่ได้เจอกันอีก?”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก? เราอาจจะเจอกันเร็วๆ นี้ก็ได้”
“คาร์ลิน! ไปไหนมาเนี่ยตามหาตั้งนาน” เสียงตะโกนเรียกจากเม็ดฝนดึงความสนใจจากคาร์ลิน และคนอื่นๆ ให้หันไปมองยังต้นเสียงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เกิดเรื่องอะไรรึเปล่าทำไมคนเต็มเลย?” เซเวียร์ที่วิ่งตามเม็ดฝุ่นมารีบถามด้วยความตกใจ
“ไม่มีอะไรหรอกกลับกันเถอะ” คาร์ลินหันไปตอบกับเพื่อนๆ ของเธอโดยไม่คิดจะหันไปร่ำลาเจโรมเลยด้วยซ้ำ
“แล้วเจอกันคาร์ลิน”
ใบหน้าหวานหันกลับไปมองเจโรมที่ยืนยกยิ้มมุมปากโบกมือส่งเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงความรู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับประโยคกำกวมของเขา
“รู้จักกันเหรอ?” เม็ดฝุ่นกระซิบถามระหว่างทางเดินกลับ
“รู้จักเมื่อกี้มั้งชื่อเจโรมเป็นเจ้าของกาสิโนที่นี่”
“เจ้าของที่นี่!” เม็ดฝุ่นตาโตด้วยความตื่นเต้นไม่คิดว่าผู้ชายหน้าตาหล่อมีเสน่ห์คนนั้นจะเป็นเจ้าของกาสิโนแห่งนี้
“อือ แต่ทำไมรู้สึกว่าไม่น่ารู้จักจะดีกว่านะ” คนตัวเล็กตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“คุณหนูครับนายท่านโทรมาครับ”
“เฮ้ย! มาได้ยังไงเนี่ย!” คาร์ลินตาโตด้วยความตกใจที่ขณะเดินกลับไปที่รถก็มีบอดี้การ์ดของเธอโผล่มายื่นโทรศัพท์มือถือส่งมาให้ตรงหน้าเธอ
“ตามดูแลคุณหนูเป็นหน้าที่ของผมครับ ตอนนี้นายอยู่ในสายครับ”
คนตัวเล็กเบะปากคว่ำหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรักทั้งสองคน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยเธอได้เพราะทั้งเซเวียร์ และเม็ดฝุ่นต่างพากันเบือนหน้าหนีอย่างพร้อมเพรียง
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะกรอกเสียงหวานลงไปหาคนปลายสาย พลางคิดในใจว่าถ้าหากพ่อของเธอรู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นคงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตแน่นอน
“ป๊ะป๋าขา~”
(เดี๋ยวนี้พูดอะไรไม่เชื่อฟังกันแล้วใช่ไหม)
“ป๊ะป๋าอย่าดุคาร์ลินได้ไหมคะ”
(ไม่ดุแล้วก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม หนีป๋าหนีบอดี้การ์ดไปเที่ยวในสถานที่แบบนั้นคนเดียวได้ยังไง)
“ไม่ได้มาคนเดียวนะคะ มากับเซเวียร์ เม็ดฝุ่นก็มาด้วย”
(งั้นป๋าต้องเริ่มจัดการจากใครก่อนดี)
น้ำเสียงเยือกเย็นของอาคิรามาเฟียพ่อลูกสองที่ดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์มือถือทำเอาเซเวียร์ เม็ดฝุ่น และคาร์ลินมองหน้ากันสลับไปมาด้วยสีหน้าเจื่อนในทันที
เพราะครั้งก่อนที่หนีเที่ยวกันโดยไม่บอกบอดี้การ์ดนั้น อาคิราถึงกับยกพวกมาบุกเป็นสิบๆ คนเพียงเพื่อพาตัวคาร์ลินกลับบ้าน