ตอนที่ 7
น่าจะพอได้
เช้าวันเสาร์ขวัญนภัสมารีบทำงานบ้านจนเสร็จเรียบร้อยจากนั้นก็มานั่งรอเมล์ที่หน้าปากซอยเพื่อไปยังบ้านของชุติมณฑ์
“สวัสดีค่ะยาย” เด็กสาวยกมือไหว้คุณยายที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่หน้าบ้าน
“สวัสดีจ้ะหนูเฟิร์น กินอะไรมาหรือยังวันนี้ยายทำกับข้าวไว้เยอะเลยไปกินในบ้านนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณยายแค่หนูกินมาแล้วค่ะ บิวอยู่ในบ้านใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ ยายเห็นเตรียมหนังสือออกมากองเต็มเลยวันนี้นัดกันอ่านหนังสือเหรอ”
“ค่ะคุณยาย”
“หนูตัดสินใจเรื่องทำงานที่บ้านหมอคีรินทร์แล้วใช่ไหมเฟิร์น”
“ค่ะคุณยาย บ่ายนี้หนูจะไปเจอคุณหมอค่ะ ยายว่าคุณหมอเขาจะรับหนูทำงานไหมคะ” ขวัญนภัสถามอย่างมีความหวัง
“เรื่องนี้ยายก็ตอบไม่ได้ แต่ยาก็บอกหมอไปแล้วนะว่าหนูทำงานบ้านได้ทุกอย่างแต่ถ้าหมอไม่รับ หนูออกมาอยู่ที่บ้านยายก่อนนะลูก ยายไม่อยากให้ไปเช่าหออยู่เลย ถ้าจะเช่าจริงๆ ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยก่อน”
“ขอบคุณค่ะคุณยายแต่หนูจะต้องให้คุณหมอรับหนูเข้าทำงานให้ได้ค่ะ”
“ยายก็อยากให้หนูได้ทำงานนี้จ้ะ”
“หนูขอเข้าไปหาบิวก่อนนะคะ”
ขวัญนภัสเดินเข้ามาในบ้านของคุณยายศรีจันทร์อย่างคุ้นเคยเธอยิ้มเมื่อเห็นว่าชุติมณฑ์นั่งอยู่กับหนังสือกองใหญ่
“มาแล้วเหรอเฟิร์นกินข้าวมาหรือยัง”
“กินมาแล้ว เริ่มติวกันเลยไหม”
“ได้สิเอาคณิตก่อนนะ ชั่วโมงต่อไปค่อยฟิสิกส์” ชุติมณฑ์เสนอ
“บิวไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามมาได้เลยนะ” สองวิชานี้ขวัญนภัสค่อนข้างทำได้วันนี้จึงนัดว่าจะติวให้ชุติมณฑ์
ทั้งสองคนติวกันอยู่ในห้องรับแขกจนถึงเวลาอาหารกลางวันก็รีบทานก่อนจะเตรียมตัวไปที่บ้านของคุณหมอคีรินทร์
ชุติมณฑ์พาเพื่อนเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังเล็กที่รั้วติดกับบ้านของคุณยายศรีจันทร์ สองสาวมองเข้าไปในรั้วที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและเห็นแมวสีส้มตัวอ้วนกำลังนอนอยู่ใต้ต้นไม้
“ตื่นเต้นไหมเฟิร์น” ชุติมณฑ์กระซิบถามเมื่อเห็นเพื่อนยืนตัวแข็งทื่อ
“ก็ตื่นเต้นนะบิว ไม่รู้เขาจะรับหรือเปล่า” ขวัญนภัสกังวลจนไม่เป็นตัวของตัวเองเพราะถ้าคุณหมอรับเธอเข้าทำงานความหวังเรื่องเรียนก็คงจะหมดไปด้วย
“ยายบอกแล้วว่าหมอเขาเป็นคนใจดี ไม่ต้องห่วงหรอกฉันว่าเขาต้องรับเข้าทำงาน” ชุติมณฑ์ให้กำลังใจก่อนจะกดกริ่งหน้าบ้าน
เธอสองคนยืนรอไม่นานนักประตูรั้วก็เปิดออกก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวสะอาด อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าดูสบายๆ ใบหน้านิ่งเฉยแต่ดูท่าทางใจดี เขามองมาที่สองสาวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะหมอคีรินทร์ หนูชื่อบิวหลานสาวยายศรีจันทร์ค่ะ นี่เพื่อนของหนูชื่อเฟิร์น ที่ยายบอกว่าจะมาทำงานแม่บ้านค่ะ”
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ขวัญนภัสยกมือไว้
“สวัสดี ยายศรีจันทร์บอกฉันไว้แล้วล่ะ เข้ามาข้างในกันก่อนนะ” หมอคีรินทร์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินนำเด็กสาวทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน
“ฉันนึกว่าหมอจะแก่กว่านี้” ขวัญนภัสกระซิบ
“ฉันคงลืมบอกไปว่าหมอคีรินทร์ยังไม่แกแถมยังหล่อมากอีกด้วย”
“ใช่ เขาหล่อจริงๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะอยู่คนเดียวนะ”
“ยายบอกว่าเขามีแฟนแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน”
ขวัญนภัสและชุติมณฑ์เดินกระซิบกันมาจนถึงด้านในบ้านของคุณหมอหนุ่ม ทันทีที่ก้าวพ้นประตูแมวสีส้มตัวนั้นก็เดินเข้ามาคลอเคลียขาของขวัญนภัสอย่างออดอ้อนเด็กสาวยิ้มและก้มลงลูบหัวมันเบาๆ
“นั่งก่อนสิ ไม่ใช่บนพื้น นั่งบนโซฟานั่นแหละ” คีรินทร์รีบบอกเมื่อเด็กสาวสองคนกำลังจะนั่งลงบนพื้น
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อนั่งลงแล้วแมวของคุณหมอก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนตักของขวัญนภัสราวกับว่ารู้จักกันมานาน
“ดูแล้วเจ้านุ่มนิ่มมันจะชอบเธอนะ ปกติมันไม่ค่อยเข้าหาคนแปลกหน้าง่ายๆ แบบนี้” หมอคีรินทร์พูดพร้อมรอยยิ้ม เขาดีใจที่เห็นเธอเข้ากันได้ดีกับแมวของเขา
“แมวชื่อนุ่มนิ่มเหรอคะ”
“อือ”
“นุ่มนิ่มสมชื่อเลยค่ะ” เธอเอามือเกาพุงของมันเบาๆ เจ้าแมวก็ซบลงบนตักและนอนนิ่ง
“คุณยายศรีจันทร์เล่าให้ฉันฟังคร่าวๆ แล้วว่าเธออยากหางานทำเพื่อเก็บเงินเรียนต่อ”
“ใช่ค่ะหมอ หนูอยากทำงานบ้านเพื่อหาเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัยค่ะ หนูทำความสะอาดบ้านได้ค่ะ ซักผ้า รีดผ้า ทำกับข้าวก็ได้หมดเลย แล้วก็ดูแลแมวได้ด้วย” หญิงสาวบอกคุณสมบัติของตัวเองออกไปอย่างครบถ้วน
“งานที่บ้านฉันก็อย่างที่เธอพูดแหละ หลักๆ ก็คือทำความสะอาดบ้าน ซักรีดเสื้อผ้าแล้วก็ทำอาหารเช้าให้ฉัน อ้อแล้วก็ต้องดูแล้วเจ้านุ่มนิ่มด้วยนะ ข้อหลังนี้ฉันคิดว่าเธอคงทำได้ดี”
“ค่ะหนูทำได้” ขวัญนภัสรับปากอย่างหนักแน่นเพราะเท่าที่สังเกตก็พอมองออกว่าคุณหมอน่าจะพอใจในคุณสมบัติของเธออยู่ไม่น้อย
“แต่เธอยังเด็กอยู่เลยเฟิร์นนะแล้วจะมาอยู่ที่บ้านฉันได้เหรอ ฉันอยากได้คนที่มาอยู่ประจำ” เขากลัวว่าจะมีปัญหาเพราะดูเธอยังเด็กมากและทางบ้านคงไม่ยอมแน่
“เรื่องมาอยู่ประจำ ไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ หนูบอกแม่แล้วหนูและหนูก็อายุครบ 18 ปีแล้วด้วย หนูบรรลุนิติภาวะแล้วค่ะ คุณหมอให้หนูมาทำงานที่นี่นะคะ หนูจะตั้งใจทำทุกอย่างเต็มที่ค่ะ” น้ำเสียงของขวัญนภัสเต็มไปด้วยความหวังและความตั้งใจ
“ดูจากที่คุณยายเล่าและที่เธอบอก ฉันคิดว่าเธอน่าจะทำได้ แต่ฉันอยากจะถามเธอตรงๆ ว่าทำไมถึงอยากทำงานหนักขนาดนี้ละ ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”
คำถามของหมอคีรินทร์ทำให้ขวัญนภัสเงียบไปครู่หนึ่ง เธอลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่บ้านให้คนแปลกหน้าฟังดีไหม แต่เมื่อมองเห็นแววตาที่อบอุ่นและเข้าใจของหมอคีรินทร์แล้วเด็กสาวก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างออกไป
“หนูอยากเรียนค่ะ แต่แม่หนูไม่อยากให้เรียนต่อค่ะ แม่อยากให้หนูจบแค่ม.6แล้วไปหางานทำค่ะ แม่บอกว่าเรียนไปก็เปลืองเงิน พอหนูบอกว่าจะกู้ยืมเรียนแม่ก็ไม่ยอมเซ็นเอกสารกู้ยืมให้ หนูเลยคิดว่าจะหางานทำแล้วส่งตัวเองเรียนไปด้วยค่ะ” เธอเล่าด้วยเสียงสั่นก้มหน้ามองพื้น
“แล้วแม่ยอมให้ออกมานอนที่อื่นใช่ไหม”
“ค่ะ ถึงแม่ไม่ให้ออกมาหนูก็คงต้องออกมาอยู่ดี”
“ทำไมล่ะ หรือทะเลาะกันหนักจนจะหนีออกจากบ้าน” คีรินทร์คิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะไม่รับเธอเข้าทำงานเพราะไม่อยากมีปัญหาตามาทีหลัง
“เปล่าค่ะ แต่พ่อเลี้ยงของหนูเขาให้น้องสาวมาอยู่ที่ห้องหนูแล้วให้หนูไปอยู่ห้องเก็บของค่ะ หนูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาเงินเรียนเอง แล้วก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ด้วยค่ะ”
“ห้องนั้นแคบมากๆ เลยนะคะหมอคีรินทร์ หมอรับเพื่อนหนูเข้าทำงานเถอะ เพื่อนหนูไม่มีที่ไปจริงๆ” ชุติมณฑ์ช่วยขอร้อง
หมอคีรินทร์ฟังอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ
“ฉันเข้าใจนะ ฉันจะให้เธอลองทำงานดูก่อนสักอาทิตย์หนึ่งได้ไหม แล้วฉันจะตัดสินใจอีกที”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” เธอยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความดีใจ
“เธอจะทำงานได้เวลาไหนบ้าง”
“ตอนเช้าก่อนไปเรียนและหลักเลิกเรียนค่ะ หนูสัญญาว่าจะไม่ให้การไปเรียนกระทบกับการทำงานค่ะ”
“ฉันไม่ซีเรียสมากหรอกนะถึงฉันอยากจะให้เธอทำงานแต่ก็ไม่อยากให้เสียการเรียน ถ้าทำงานเสร็จแล้วเธอจะเอาเวลาที่เหลืออ่านหนังสือหรือทำการบ้านก็ได้”
“ขอบคุณคค่ะหมอ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ หนูจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดเลยค่ะ” เธอรีบลุกขึ้นยกมือไหว้ความดีใจอีกครั้ง
หมอคีรินทร์บอกรายละเอียดในการทำงานและการดูแลเมวตัวอ้วนของเขาและให้เธอไปเก็บของเพื่อมาเริ่มงานในเย็นวันอาทิตย์