หลังจากหญิงสาวคิดไม่ตกอยู่ครู่หนึ่ง เธอที่ไม่มีทางเลือกอื่นในตอนนี้จึงได้ทำได้แค่แสร้งจำนนใจตามน้ำชายชุดดำบอดี้การ์ดพวกนี้ไปก่อนแล้วค่อยคิดหาทางออกทีหลัง
“เอ่อนายช่วยปล่อยฉันลงก่อนได้มั้ย เล่นแบกฉันไว้แบบนี้เลือดจะไหลย้อนขึ้นหัวอยู่แล้วเดี๋ยวตายกันพอดี ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่หนีไปไหนแน่นอนสาบานเลย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนพยายามประนีประนอมเกลี้ยกล่อมกับชายชุดดำที่กำลังแบกร่างเล็กของเธอเอาไว้บนบ่าอยู่ในตอนนี้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเผื่อว่าเขาจะยอมใจอ่อนสักนิด
“ปล่อยคุณเชอรีลลงเถอะ”
“ครับ”
หลังจากที่หญิงสาวพูดจบชายชุดดำบอดี้การ์ดอีกคนตรงหน้าดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าสั่งการคนอื่นๆ ได้พยักหน้าเบาๆ ออกคำสั่งให้ชายร่างกายกำยำที่ยังคงแบกร่างของเธอเอาไว้บนบ่ายอมปล่อยเธอลงมาแต่โดยดี
ดูไปแล้วเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจหรือดุร้ายอะไร ทว่าการกระทำเพียงเท่านี้จะปักใจหลงเชื่อง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด
“ขอบใจ”
เท้าสวยแตะยืนบนพื้น ร่างของหญิงสาวกลับมาเป็นอิสระอีกครั้งไร้ซึ่งการกักกันชั่วคราว เธอจึงเอ่ยปากขอบคุณพลางแยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆ ส่งให้กับพวกเขา
นี่คงจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่คุณหนูอย่างเธอ ผู้หยิ่งทะนงตนทั้งดื้อรื้อเอาแต่ใจ ไม่ชอบเอ่ยปากขอบคุณกับคนที่ไม่สนิทและไม่ยอมพูดจาดีๆ กับคนแปลกหน้าอย่างง่ายดายเด็ดขาด
“ผมปล่อยคุณแล้วก็อย่าคิดหนีให้เสียเวลาเลยนะครับ เพราะถึงยังไงคุณก็ไม่สามารถหนีจากพวกผมไปได้หรอก” ชายชุดดำบอดี้การ์ดตรงหน้าเอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี
“รู้แล้วนะ ฉันตัวคนเดียวส่วนพวกนายมีเป็นสิบคนจะหนีไปไหนรอด ฉันไม่ใช่มดนะยะที่จะมุดรูหนีได้” ใบหน้าสวยชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เล็กน้อย
วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรของเธอ ก่อนหน้านี้บัตรเครดิตก็รูดไม่ผ่านแล้วไหนจะตอนนี้กลับมาถึงบ้านก็ต้องมาเจอเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรแบบนี้อีก
เวรกรรมอะไรของฉันกันแน่นะวันนี้ถึงได้เจอแต่เรื่องตั้งแต่หัววันเลย
“เชื่อฟังที่ผมพูดก็ดีแล้วครับ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ที่ฉันอยากรู้ตอนนี้ก็คือเรื่องที่นายพูดว่าคุณพ่อของฉันหนีไปต่างประเทศมันหมายความว่ายังไง แล้วตกลงพวกนายเป็นใครกันแน่” คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอีกครั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“พวกผมเป็นใครมันไม่สำคัญหรอกครับ อีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เองเมื่อเจอเจ้านายของผม เชิญขึ้นรถไปกับพวกผมก่อนเถอะครับ” ชายชุดดำตรงหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแอบแฝงไปด้วยความดุดัน
“ไม่ไป พะ พวกนายจะพาฉันไปไหน” หญิงสาวเอ่ยคัดค้านทันควันน้ำเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่น
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ พวกผมไม่พาคุณไม่ฆ่าไปแกงหรอกรับประกันได้”
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น พวกนายมีอะไรก็ไปคุยกับคุณพ่อฉันสิ จะมาพาตัวฉันไปเกี่ยวข้องทำไม”
“อย่าให้เสียเวลามากไปกว่านี้เลยครับเจ้านายผมกำลังรอคุณอยู่ เชิญครับ”
“มะ ไม่ ฉันจะไม่ไปไหน ถ้าพวกนายบอกว่าเป็นเจ้าหนี้จริงก็ต้องมีเอกสารทวงหนี้หรือเอกสารที่ระบุว่าคุณพ่อของฉันไปติดหนี้ไว้สิ เอามาให้ฉันดูก่อนไม่อย่างนั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลยนะ”
หญิงสาวยังคงดึงดันเพื่อเยื้อเวลาหาทางรอดถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะสั่นน้อยๆ เจอแววหวาดกลัวและกระวนกระวายก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้โทรศัพท์มือถือของเธอดันอยู่บนรถ
แล้วแบบนี้จะขอความช่วยเหลือจากใครได้ล่ะ อยากจะกรี๊ดออกมาให้ดังสุดเสียงไปเลยจริงๆ วันนี้สวรรค์กำลังกลั่นแกล้งฉันใช่มั้ยเนี่ย
“เอกสารมีแน่นอนครับ แต่ตอนนี้คุณต้องขึ้นรถไปกับพวกเราก่อน”
“อึก” ชายชุดดำบอดี้การ์ดตรงหน้าจ้องมองใบหน้าหญิงสาวด้วยดวงตาสีดำเยือกเย็น ท่าทีน่ากลัวแบบนั้นทำให้เธอถึงกับกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่กล้าที่จะขัดขืนหรือเอ่ยปากถามอะไรอีกต่อไป
ความกังวลและหวาดกลัวพลันโถมเข้ามาในหัวใจหญิงสาวในพริบตานั้น ก่อนที่มือใหญ่หยาบกร้านของชายชุดดำบอดี้การ์ดสองคนจะพุ่งเข้ามาจับรั้งท่อนแขนเล็กทั้งสองข้างเอาไว้
“เชิญครับ” เสียงทุ้มของชายชุดดำร่างใหญ่กำยำเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็นไม่กระทกกระท้าน
“กะ ก็ได้” หญิงสาวถูกชายทั้งสองคุมตัวราวกับนักโทษฉกรรจ์ที่เพิ่งก่ออาชญากรรมมาใหม่ๆ เดินไปขึ้นประตูรถคันหรูที่จอดอยู่ใกล้ๆ โดยมีสายตาเยือกเย็นดุดันของชายชุดดำบอดี้การ์ดคนอื่นๆ คอยส่งมาข่มขู่ให้เธอเกรงกลัวยอมขึ้นไปรถแต่โดยดี
เพื่ออยากจะรักษาชีวิตรอดหญิงสาวที่กำลังหวาดกลัวอยู่ในใจจนมือไม้สั่นไม่มีทางเลือกอื่นเลยในเวลานี้ จึงจะต้องยอมทำตามคำสั่งของคนพวกนั้นอย่างจำใจทั้งที่ไม่รู้เลยว่าโชคชะตาชีวิตตนเองในเวลาข้างหน้าต่อไปนี้จะต้องเจอกับอะไร
ปึก
หลังจากบานประตูรถถูกปิดลงชายชุดดำบอดี้การ์ด ก็ได้พาหญิงสาวขับเคลื่อนตัวออกจากตัวคฤหาสน์ของเธอทันที
คนพวกนี้จะพาฉันไปต้มยำทำแกงที่ไหนกันแน่เนี่ย หรือจะพาไปทำมิดีมิร้ายอะไรหรือเปล่า แล้วอย่างนี้ฉันจะหาวิธีโทรแจ้งตำรวจยังไงดี โทรศัพท์ก็ดันลืมไว้บนรถเสียได้คิดสิคิดเร็วเข้า
หัวใจดวงน้อยพลันเต้นรัวโครมครามด้วยความหวาดหวั่นจนเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกมือเรียวบีบเข้ามากันแน่นมาตลอดทางเมื่อถูกชายชุดดำพวกนี้จับตัวขึ้นรถมาทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพาเธอนั้นไปที่ไหนด้วยซ้ำพลางใช้สมองอย่างหนักคิดหาวิธีหนีจากนักต้มตุ๋นพวกนี้
“นะ นี่ พวกนายจะไม่ยอมบอกฉันจริงๆ เหรอว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วจับตัวฉันไปทำไม”
ระหว่างนั่งอยู่บนรถที่กำลังขับเคลื่อนอยู่บนถนนหญิงสาวยังคงเอ่ยปากร้องถามไม่หยุด หวังว่าตนเองจะได้คำตอบที่เป็นความจริงทั้งที่ในใจก็กลัวอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าพวกเขากลับนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกับเธอเลยสักคำ
“…”
“นี่พวกนาย ฉันถามทำไมไม่ตอบ ไม่ได้ยินหรือยังไงเป็นใบ้พูดไม่ได้ไปกันหมดแล้วเหรอฮะ”
เงียบ ภายในรถมีแต่ความเงียบมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศภายในรถเท่านั้นทำให้ความอดทนของหญิงสาวใกล้จะหมด อารมณ์เหวี่ยงวีนมันกำลังจะระเบิดถ้าหากไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดภายในไม่กี่วินาทีนี้
แต่กลับทำได้แค่กัดฟันอดทน เก็บความโกรธเหล่านั้นเอาไว้ในใจเพราะเธอจะโวยวายตอนนี้ไม่ได้ เห็นด้ามปืนสีดำเงาวับที่ข้างสะเอวนั้นมั้ย ถ้าหากตัวเธอเกิดโวยวายมากไปกว่านี้คงจะได้กินลูกกระสุนปืนเป็นอาหารว่างแทนข้าวแน่นอน ทางที่ดีในตอนนี้ควรจะสงบสติอารมณ์ให้มากที่สุดก่อนดีกว่า
“…”
“เอ่อ ไม่คิดจะบอกฉันจริงๆ เหรอว่าจับตัวฉันมาทำไมหรือว่าพวกนายจะมาจับตัวฉันไปเรียกค่าไถ่ใช่มั้ย ต้องใช่แน่นๆ พวกนายรู้ใช่มั้ยล่ะว่าคุณพ่อของฉันรวยและท่านก็เป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังฉันเดาทางพวกนายถูกมั้ย”
หญิงสาวพูดออกไปตามความคิด แต่ทว่าคำพูดของเธอกลับทำให้ผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างต้องหันมามองเพราะเขานั่นหมดความอดทนที่จะต้องทนฟังเสียงโวยวายและคำถามมากมายเหล่านี้ของเธอมาตลอดทางแล้ว
“…”
“อะไร ฉันพูดอะไรผิด พวกนายรู้ใช่มั้ยว่าพ่อของฉันรวยมากแล้วพวกนายก็เลยวางแผนกันมาจับฉันไปเรียกค่าไถ่สินะ”
“รู้ครับ”
“ใช่มั้ยล่ะ ว่าแล้วเชียวพวกนายตั้งใจมาจับตัวของฉันไปเรียกค่าไถ่จริงๆ ด้วย ก็อย่างว่าแหละฉันเป็นถึงลูกสาวนักลงทุนชื่อดังคู่แข่งทางธุรกิจของคุณพ่อก็ค่อนข้างเยอะ ไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนหวังร้ายคิดจะทำเรื่องชั่วแบบนี้ได้ งั้นพวกนายบอกฉันมาสิว่าใครสั่งพวกนายทำ เอาอย่างนี้มั้ยล่ะเปลี่ยนมาปกป้องฉันแทน ฉันรับปากเลยว่าจะจ่ายเงินให้พวกนายมากกว่าคนที่สั่งให้พวกนายมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้อีกนะดีมั้ย” หญิงสาวพยายามพูดเกลี้ยงกล่อมยื่นข้อเสนอดีๆ พลางแยกรอยยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ
พวกเห็นแก่เงินแบบนี้มันต้องให้เงินมาล่ออีกทีถึงจะยอมจบเรื่องสินะ รู้อย่างนี้ฉันน่าจะคิดอะไรแบบนี้ดีๆ ได้ตั้งแต่ทีแรกไม่ต้องมาให้คนพวกนี้จับตัวมาให้เสียเวลาเลยจริงๆ
“ที่คุณพูดมาผิดทั้งหมดนั่นแหละครับ”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว ความมั่นใจในตอนแรกของหญิงสาวดับวูบ รอยยิ้มในทีแรกก็หุบลงทันทีเมื่อชายชุดดำปฏิเสธเสียงเรียบว่าไม่ได้คิดจะจับตัวเธอไปเรียกค่าไถ่อย่างที่คิดเอาไว้
แต่ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงตกลงจะจับฉันมาทำไม
“ละ...แล้วตกลงพวกนายจับฉันมาทำไม?”
“ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ เจ้านายของผมสั่งให้พวกผมมารับตัวคุณ เพราะพ่อของคุณยกคุณให้เป็นหลักประกันหนี้ที่ค้างเอาไว้” แววตาคมกริบของชายชุดฉายแววดูจริงจังจนทำให้หญิงสาวรู้สึกใจหล่นวูบ
“อย่ามาหลอกให้ยากไปหน่อยเลย ฉันไม่ใช่เด็กสิบขวบแล้วนะยะ ที่จะมาพูดมัวซั่วแล้วฉันจะหลงเชื่อพวกนายง่ายๆ นะ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ใช่สิ่งของที่จะมาเป็นหลักประกันบ้าบออะไรนั่นด้วย!” หญิงสาวตะคอกน้ำเสียงออกมาด้วยความขึงโกรธอย่างเริ่มมีโทสะ เมื่อคุณหนูผู้สูงส่งอย่างเธอกำลังโดนคนราคาต่ำพวกนี้ดูถูกเหยียดหยามกล้าตีราคาเธอเป็นเศษเงิน
“ผมพูดไปหลายรอบแล้วนะครับว่าพ่อของคุณเป็นหนี้เจ้านายของผม แต่ในเมื่อตอนนี้พ่อของคุณหนีออกนอกประเทศไปแล้วเพราะฉนั้นคุณในฐานะที่เป็นลูกสาวของเขาก็ต้องชดใช้หนี้ที่ค้างอยู่ทั้งหมดแทน” คำพูดของชายชุดดำบอดี้การ์ดไม่ต่างอะไรกับการที่เขาลากเธอไปตบกลางสี่แยกไฟแดง
"หนี้ที่ว่ามันจะสักเท่าไหร่กันเชียว ถ้านายยืนยันว่าคุณพ่อฉันติดหนี้จริงก็บอกว่าเท่าไหร่เดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง ไม่ต้องมาสร้างเรื่องให้เสียเวลา"
"ถ้ารวมทั้งต้นทั้งดอกเเล้วก็สามร้อยล้านครับ"
“สะ สามหลายร้อยล้าน!”
“คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ สามร้อยล้านบาทถ้วน”
หญิงสาวถึงกับชะงักตัวเหมือนจะแข็งค้างไปโดยพลัน ดวงตาสวยเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กว่าที่เธอจะได้สติหลังจากทบทวนในสิ่งที่คนพวกนั้นพูดก็ใช้เวลานานอยู่หลายนาที
“บ้าไปแล้ว เงินเยอะขนาดนั้นจะไปเอามาจากที่ไหน ยังไงฉันก็ไม่เชื่อพวกนักต้มตุ๋นแบบนายเด็ดขาด คุณพ่อของฉันไม่เคยเป็นหนี้ ถ้าเป็นหนี้จริงฉันก็ต้องรู้สิ พวกนายโกหก!” หญิงสาวส่ายหน้าไปมาเธอพูดย้ำซ้ำ ๆ ราวกับคนเสียสติ