จิววั่งซูรู้สึกพลาดไปแล้วที่เลือกจัดการลูกสะใภ้ในวันนี้ นางไม่คิดว่าลูกชายของนางจะกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จึงคิดเปลี่ยนเรื่องอื่นแทนที่จะสนใจกระเพาะปลาในถ้วยตรงหน้า
ไป๋เฟิ่นโยว่มองหน้าสามีสลับกับแม่สามี แล้วไม่ลืมหันมาหาลูกสาวตัวเอง ตอนนี้นางสับสนไปหมด นี่แม่สามีเอาสิ่งใดให้นางกินกัน
“เหยาเหยา~” เสียงแหบเครือเรียกลูกสาว พร้อมกับมองที่ถ้วยกระเพาะปลานี้แล้วก็นึกคลางแคลงใจ นางกลัวอย่างเดียว คือจะไม่ได้อยู่กับลูกจนถึงนางแต่งงาน หากนางจากไปก่อน ชีวิตของลูกสาวของนางต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร
‘ไม่นางไม่ยอม’
ฟู่อินเหยาเห็นมารดาทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก นางจึงก้มลงกระซิบเบา ๆ ให้ได้ยินกันสองคน
“อาหารที่ป้อนท่านข้าสับเปลี่ยนแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋เฟิ่นโยว่ได้ฟังก็สบายใจขึ้น นางลูบหัวลูกสาวแล้วก็พยักหน้าอย่างรู้สึกขอบคุณความฉลาดของเด็กน้อย แต่นางทั้งสองไม่รู้ว่าที่พูดคุยกันนั้นเข้าหู ฟู่ลีหยวน ผู้ที่มาใหม่เข้าเต็มสองหู เนื่องจากฟู่ลีหยวนเป็นแม่ทัพ สัมผัสต่าง ๆ ย่อมดีกว่าคนทั่วไป ทั้งมีวรยุทธและวิชาเดินลมปราณทำให้ได้ยินที่สองแม่ลูกกระซิบกระซาบกัน คิดว่ากระเพาะปลาถ้วยนี้เขาก็คงกินได้
จึงตักขึ้นมาชิมแต่เมื่อจะเอาเข้าปาก กลับโดนมารดาของเขาปัดมือจนช้อนตกพื้น
เพล้ง!!!
เสียงช้อนลายครามกระแทกพื้นจนแตกกระจาย ทำให้คนที่กำลังเอาเข้าปากดวงตามืดครึ้ม มองมารดาอย่างไม่วางใจ
“ท่านแม่ท่านทำอันใด!” เสียงเข้มคล้ายอยากคาดคั้นว่าท่านแม่ต้องการสิ่งใดกันแน่ และที่ผ่านมาฮูหยิน ของเขากับลูกสาวเกิดอันใดขึ้น
เขามองไปที่ร่างกายของนางที่สภาพซีดเซียวราวกับคนไม่สบาย กับลูกสาวที่มีผ้าสีขาวพันรอบศีรษะ จนอยากรู้เรื่องราวต่าง ๆ ให้กระจ่างแจ้งเสียเดี๋ยวนี้
“เอ่อ...ลีหยวน อาหารนี้เย็นชืดหมดแล้ว เจ้าไปกินที่ห้องโถงเถอะ แม่จะให้คนทำให้ใหม่ ๆ”
“แล้วเหตุใดอาหารนี้กินไม่ได้” ฟู่ลีหยวนไม่ยอมให้ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เพราะสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก็ได้เห็นแล้ว
แต่เมื่อเขาอยากจะคาดคั้นมากขึ้น กลับได้ยินคำพูดที่ไม่ใคร่จรรโลงใจจากภรรยาของตัวเอง
“ท่านพี่...เขียนหนังสือหย่าให้ข้าเถอะ ข้ายอมแล้ว”
ไป๋เฟิ่นโยว่พูดพร้อมกับหยาดน้ำตาที่หลั่งริน นั่นยิ่งทำให้จิววั่งซูอยากจะหาอะไรอุดปากเน่า ๆ ของลูกสะใภ้เสีย ยิ่งมาพูดเรื่องหย่าร้างตอนนี้ บุตรชายของนางจะไม่สอบสวนได้อย่างไร
“ฮูหยินเจ้าพูดอะไรออกมารู้หรือไม่!” ฟู่ลีหยวนไม่รู้เลยสักนิดว่านางกับลูกโดนสิ่งใดกันมา แล้วตอนนี้ยังมาให้เขาปลดนางออกจากภรรยาเสียอีก แบบนี้จะให้เขาคิดอย่างไร
แต่ฟู่อินเหยาไม่ยอมปล่อยผ่าน นางไม่อยากอยู่ในดงเสือดงจระเข้อีกแล้ว เมื่อท่านพ่อกลับมาเร็วกว่าที่คาดก็ดี เส้นเรื่องของนิยายจะได้เปลี่ยนสักที
นางคาดการณ์อาชีพไว้ในหัวแล้วว่า หนึ่งในนั้นย่อมมีเปิดร้านขายกระเพาะปลาเป็นแน่ ต้องขอบคุณท่านย่าที่จุดประกายให้นาง
“นั่นสิเหลวไหลสิ่งใดกัน เจ้าไม่สบายก็พักผ่อนให้มาก” จิววั่งซูรีบสำทับทันที แต่ทว่าหลานในไส้ของนางกลับไม่ยอมหุบปาก
“ที่ท่านแม่ป่วยเช่นนี้เพราะท่านย่าสั่งให้โบยด้วยหวายไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ถ้อยคำประชดประชันของบุตรสาวคนโตทำเอาฟู่ลีหยวนหันมองท่านแม่ด้วยสีหน้าคาดคั้นอีกครั้ง หากไม่ยอมตอบวันนี้เขาจะไม่ยอมลุกไปจากห้องนี้เด็ดขาด
“โบยด้วยหวาย นางทำสิ่งใดผิด”
ไม่ทันที่ฮูหยินผู้เฒ่าฟู่จะตอบ ฟู่อินเหยาก็พูดแทรกเสียก่อน
“เพราะว่ามีใครบางคนวางแผนใส่ร้ายท่านแม่ ทั้งที่ท่านแม่เรียกร้องความยุติธรรมให้ข้า ที่โดนคนอื่นรังแกเสียเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ท่านย่ากลับห่วงชื่อเสียงตระกูลว่าทำให้บาดหมางกับตระกูลเสนาบดี จึงโบยท่านแม่หลังลาย ไม่เหลือที่ว่างแม้แต่น้อย ขนาด...”
“หุบปาก!” จิววั่งซูอยากจะตบปากหลานคนโตยิ่งนัก แต่ยามนี้ทำได้แค่ตวาดเพราะไม่อยู่ใกล้มือ ทั้งมีสายตาบุตรชายที่มองมาด้วยความผิดหวัง
“พูดต่อไป ข้าอยากฟัง” ตระกูลเสนาบดีเหลียงเกี่ยวอันใดเขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน
“บุตรชายเสนาบดีเหลียง เหลียงจื่อเพ่ยผลักข้าหัวกระแทกกับโขดหินจนข้าสลบไป เขาโดนตี ท่านย่าไม่พอใจมาลงมือกับท่านแม่ อ้างกฎตระกูล”
ฟู่ลีหยวนเกิดมาไม่เคยได้พบการกระทำที่ไร้ความยุติธรรมของมารดามาก่อน คราวนี้เห็นจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผิดหวังในตัวมารดายิ่งนัก เดิมที่วันนี้เขาได้รับพระราชทานเรือนแม่ทัพเพิ่มอีกเรือน ตั้งใจกลับมาโดยไม่แจ้ง จะได้ให้คนที่บ้านแปลกใจ แต่กลับต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดเสียได้
เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าท่านแม่คิดอะไร การต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์พวกนี้เขาไม่เห็นด้วยสักนิด เห็นแต่ครั้งเขาที่ต้องแต่งงานโดยไม่เต็มใจ เมื่อต่างคนต่างไม่เคยสนิทสนม แต่งเข้ามาก็อึดอัด แต่เขาเลือกที่จะไปชายแดนเพื่อไม่ให้นางอยู่กับเขาอย่างลำบากใจ ใครจะคาดว่านางจะถูกรังแกทั้งที่อยู่ในฐานะฮูหยินใหญ่
“เหยาเหยาพูดเหลวไหล เจ้าอย่าไปเชื่อนาง แม่แค่สั่งสอนเล็ก ๆ น้อย ๆ”
ฟู่ลี่หยวนดึงเสื้อที่คลุมร่างกายของไป๋เฟิ่นโยว่ออก ริ้วแดงที่ช้ำเลือดเต็มหลังไปหมดเช่นนี้ท่านแม่ยังคิดว่าสั่งสอนเพียงเล็กน้อยอีกเหรอ
ฮึก... “ท่านพี่” ไป๋เฟิ่นโยว่รั้งเสื้อขึ้นปกปิด เพราะไม่อยากให้ผู้ใดเห็นแผลที่น่าเกลียดของนาง
“เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง” ฟู่ลีหยวนกล่าวขึ้น แต่ทว่าไป๋เฟิ่นโยว่ใช้มือห้ามเอาไว้
“ท่านพี่ในเมื่อท่านและท่านแม่ต่างอึดอัดใจที่มีข้าอยู่ในจวน มิสู้ปล่อยข้ากับลูกไปเถอะเจ้าค่ะ ข้ารับปากว่าจะไม่พูดให้ตระกูลท่านเสื่อมเสีย”
ไป๋เฟิ่นโยว่พูดทั้งน้ำตา จนฟู่อินเหยานึกเจ็บใจแทนมารดา ท่านแม่เจ็บช้ำใจมามาก ท่านแม่ไม่พูดก็เรื่องของท่านแม่ แต่ข้าไม่ใช่ หากท่านพ่อหย่ากับท่านแม่ ท่านพ่อก็คือศัตรูอันดับหนึ่งของข้า รองจากเหลียงจื่อเพ่ยพระเอกของเรื่องนี้
“ใครบอกว่าข้าอึดอัด”
“ก็....”
“พอไม่ต้องพูดแล้วเจ้ามาเหนื่อย ๆ ก็รีบไปพักผ่อนเถอะ” จิววั่งซูพยายามรั้งใจบุตรชายให้ออกจากสองแม่ลูกนี้ ต่อให้ที่ผ่านมาเมินเฉย แต่ก็ใช่ว่าบุตรชายไร้ความยุติธรรม ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพตระกูลฟู่ผิดถูกว่ากันตามพยานหลักฐาน
“วันนี้ข้าจะพักที่นี่ ท่านแม่กลับไปเถิด”
ฟู่อินเหยาแปลกใจที่บิดานางเปลี่ยนจากที่คิดเอาไว้ เขาคือบุรุษเย็นชา ไร้ความผูกพันกับท่านแม่นี่นา แล้วนี่คืออะไรกัน...
“เรือนนางคับแคบ บุตรสาวนางก็อยู่ด้วยเจ้าจะนอนที่ใด”
“นางนอนที่ใดข้าก็นอนที่นั่น แล้วบ่าวไพร่ในจวนไปที่ใดกันหมด ตายกันแล้วหรือไง ฮูหยินเจ็บเช่นนี้ไม่มาปรนนิบัติ คอยดูข้าจะขายออกให้หมด”
เสียงโวยวายของท่านพ่อทำให้ฟู่อินเหยาอยากจะขำ นี่ท่านคงไม่รู้เลยสินะ นอกจากข้า ท่านแม่ แล้วก็ปี้ถังยังจะมีใครก้าวเข้ามาได้อีกหากท่านย่าไม่อนุญาต
“ท่านถามท่านย่าเถิด ในจวนแห่งนี้ท่านแม่ไม่ต่างจากทาสสักเท่าไหร่นัก”
“อินเหยา!” จิววั่งซูอยากตบเด็กวาจาสามหาวผู้นี้สักร้อยครั้ง ไม่พูดสักคำจะตายหรือไง เห็นอยู่ว่าบุตรชายของนางไม่พอใจ
“ท่านอีกแล้วหรือ” ฟู่ลีหยวนครวญครางคล้ายเสียงคำราม
ปี้ถังที่วิ่งเข้ามาพอดี เห็นนายท่านก็รีบคารวะก่อน
“คารวะนายท่านเจ้าค่ะ” แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ ฟู่อินเหยาก็ลากตัวของปี้ถังเข้ามาในครัวเสียก่อน
“เรียบร้อยดีหรือไม่” ฟู่อินเหยากระซิบกับปี้ถัง
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ คนครัวเอากระเพาะปลาไปอุ่นรวมกับของที่จะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านป้าเขื่อเจี้ย”
ฟู่อินเหยาได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกสะใจไม่น้อย หึ...ให้พวกนางรู้เสียบ้างว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
“ยาท่านแม่พวกเราช่วยกันต้มเถิด ข้าไม่อยากเห็นหน้าบิดานัก” ฟู่อินเหยาพูดแล้วก็หงุดหงิด กลับมาเร็วใช่ว่านางกับท่านแม่จะสมหวัง ดูเหมือนเรื่องราวยิ่งบานปลายไปใหญ่ เพียงแค่นางต้องการได้ใบหย่าของท่านแม่ ก็จะจากไปแล้ว แต่นี่ท่านพ่อทำเหมือนไม่อยากจะหย่าเสียอย่างนั้น
นางตักกระเพาะปลาปลอม ๆ ฝีมือตัวเองมานั่งกิน ก็รู้สึกว่ารสดีนัก จึงเรียกปี้ถังมากินด้วยกัน
“ปี้ถังกินก่อนเถอะเดี๋ยวข้าช่วยเจ้าต้มยาอีกแรง”
ปี้ถังนั่งลงแล้วชิมกระเพาะปลาที่ไม่ได้ทำจากกระเพาะปลา แต่รสชาติดียิ่งจนเด็กน้อยมีประกายตาสดใส และโชคดีนักที่คุณหนูใหญ่ทำไว้มากมาย
“คุณหนูท่านทำอาหารเก่งกาจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เอาแล้วไง นางลืมไปเลยว่าฟู่อินเหยาไม่ชอบทำอาหาร มีเพียงปี้ถังที่ช่วยท่านแม่เท่านั้น นางจะอ้างสิ่งใดนอกเสียจาก
“ท่านแม่ข้ารสมือไม่เป็นรองผู้ใดในใต้หล้านี้ แล้วเจ้าคิดว่าลูกไม้ใต้ต้นอย่างข้าจะทำไม่อร่อยเลยรึ”
ปี้ถังพยักหน้าเห็นด้วย นายหญิงเหมือนเป็นแม่ครัวห้องเครื่องด้วยซ้ำ คุณหนูของนางมีหรือจะไม่มีฝีมือติดมาบ้าง
แต่ขณะกินกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนที่ฟู่อินเหยาไม่อยากเห็นหน้าอยู่ด้านหลัง
“เช่นนั้นพ่อชิมฝีมือเจ้าสักถ้วยได้หรือไม่”