บรรยากาศภายในสนามบินเต็มไปด้วยความพลุกพล่านของผู้คน หญิงสาวที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกถึงกับมองตึกอาคารและเครื่องบินลำใหญ่ที่จอดอยู่ด้านนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอเคยเห็นแค่ผ่านโทรศัพท์ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสมาแบบนี้ ถึงเธอจะอยู่กรุงเทพมหานครมาตั้งแต่เกิด แต่ด้วยสถานะของเธอใช่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ทุกที่ มีแต่ทำงานอยู่ตลอดเวลาไม่มีเวลาไปเที่ยวหรอก
“ตื่นเต้นไหมครับ ทำไมมือเย็นเฉียบเลย”
เสียงทุ้มของคนข้าง ๆ ถามขึ้นอย่างอ่อนโยนทำให้เธอหันไปยิ้มเขา ไม่รู้ทำไมตอนนี้เธอถึงเริ่มไว้ใจเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อนอาจจะเพราะถึงเธอเป็นแค่ลูกหนี้แต่เขาก็ยังดูแลอย่างดี ไม่เคยเอาสถานะเจ้าหนี้มาข่มขู่หรือข่มเหงเธอเลยสักครั้ง นั่นทำให้เธอเริ่มคลายกังวล แถมยังเริ่มมีความรู้สึกกับคนข้าง ๆ อีกด้วย
หลังจากที่รอไม่นานเครื่องก็บินพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำสำหรับใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นความตื่นเต้นที่จะได้ไปยังที่ใหม่ ๆ หรือความกังวลใจเล็กน้อยเกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศ แต่ยังดีที่มีคนข้าง ๆ คอยอยู่เป็นเพื่อน
“ถ้าง่วงก็นอนก่อนได้นะครับ เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วพี่ปลุก”
“ขอบคุณนะคะ”
คนตัวเล็กหันไปยิ้มอย่างอ่อนโยนรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายมากที่อย่างน้อยตอนนี้อยู่ข้าง ๆ เธอ ความรู้สึกแบบนี้มันเปลี่ยนไปตอนไหน เริ่มไม่ระแวงและเอนเอียงไปหาเขา
กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
“ว้าววววว หิมะ”
เสียงหวานที่ปนไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจเผลอพูดออกมาเสียงดังหลังจากที่รถคันหรูกำลังขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนนเป็นจังหวะเดียวกับหิมะเย็นสีขาวตกลงมา เธอไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้เห็นหิมะด้วยตาตัวเอง
“ชอบเหรอครับ”
“ชอบค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง”
“งั้นเดี๋ยวถึงบ้านพักพี่จะพาออกมาเดินสัมผัสดู”
“ได้เหรอคะ”
แววตาของคนที่ได้ยินเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง ทำเอาคนที่มองเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวรอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าแล้วแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยจนน่ากลัวต่างจากคนที่นั่งข้าง ๆ น้ำหนึ่งเองก็หันหน้ากลับมามองคนข้าง ๆ อย่างแปลกใจ ดูจากท่าทางของพายุทำให้เธอรู้ว่าเขาคงจะอารมณ์ไม่ดีแน่ ไม่รู้ว่ามีปัญหาเรื่องงานหรือเปล่า เธอเลยเลือกจะนั่งเงียบ ๆ ทำให้บรรยากาศภายในรถเงียบไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง
หลังจากนั้นไม่นานพวกเธอก็พากันมาถึงบ้านพัก ที่นี่ใหญ่มากจะบอกว่าใหญ่กว่าบ้านสลัมเธอหลายเท่าเลย พอเข้ามาในบ้านน้ำหนึ่งก็เลือกที่จะนั่งนิ่ง ๆ อยู่บนโซฟาเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำให้อารมณ์ของพายุเสียมากกว่าเดิม
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ครับ ไหนบอกว่าอยากดูหิมะไง” ตอนนี้พายุใจเย็นขึ้นมากพอสมควรเขาเลยเดินมานั่งลงข้างหญิงสาวแล้วถามอย่างอ่อนโยน
“คือความจริงถ้าคุณพายุไม่อยากดูหิมะหนึ่งไม่ดูก็ได้นะคะ แค่เห็นตอนที่นั่งรถกลับมาก็โอเคแล้ว…”
ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบมือแกร่งของชายหนุ่มก็จับมือของเธอแล้วออกแรงดึงเล็กน้อยก็ทำให้เธอลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินพาออกไปข้างนอกที่มีหิมะเริ่มตกมาปกคลุมต้นไม้ใบหญ้าทางเข้าบ้าน
“อยู่ตรงนี้รอก่อนนะครับอย่าไปไหน เดี๋ยวพี่เข้าไปในบ้านแป๊บหนึ่งเดี๋ยวออกมาหา”
“ได้ค่ะ”
น้ำหนึ่งมองคนที่เดินออกไปจนลับตาแล้วเธอก็รีบถอดรองเท้าเดินเหยียบบนพื้นที่มีหิมะปกคลุมอยู่อย่างสนุกสนาน แต่เพียงไม่นานก็ต้องรีบวิ่งกลับมาใส่รองเท้าเพราะความเย็นที่มันกัดเท้าทำให้เธอแสบไปหมด เธอยืนรอพายุอยู่เกือบ 10 นาทีเขาก็ไม่ยอมกลับมาสักที ตอนนี้เธอรู้สึกหนาวขึ้นมากเพราะไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาวตอนออกมา น้ำหนึ่งมองกลับเข้าไปในบ้านก็ไร้ร่างคนที่เดินเข้าไป สงสัยติดธุระแน่เลย
“เราควรเข้าไปในบ้านหรือเปล่านะ แต่ว่าเขาบอกให้รอตรงนี้นี่”
เพราะไม่อยากขัดคำสั่งพายุเธอเลยเลือกที่จะยืนรอ โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองรอตอนนี้กำลังยืนมองตัวเองจากด้านบนด้วยแววตาเกลียดชัง เขาเป็นคนตั้งใจให้เธอยืนคอยเอง ผู้หญิงแบบนั้นปล่อยให้หนาวตายก็คงดี พายุเลือกที่จะหมุนตัวไปนั่งอ่านเอกสารที่ต้องคุยกับคนที่จะเข้ามาลงทุนด้วยต่อ จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก
“ใคร ! เข้ามาได้” พายุมองคนที่เดินเข้ามาคือลูกน้องคนสนิทของตัวเองก็อดแปลกใจไม่ได้ ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นหญิงสาวที่อยู่ด้านนอกกลับเข้ามาแล้วเสียอีก “มีอะไร”
“เจ้านายครับ คุณน้ำหนึ่งยืนอยู่ข้างนอกไม่ยอมเข้ามาด้านในครับ”
ธามพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยหญิงสาวอย่างเห็นได้ชัด แม้จะรู้ดีว่าที่เธอต้องไปอยู่ข้างนอกเพราะเจ้านายตัวเองแน่ ๆ แต่เขาก็เลือกจะเสี่ยงมาบอกเจ้านาย
“ดูท่าทางนายจะใจดีกับผู้หญิงคนนั้นเหลือเกินนะธาม ถูกใจอยากได้เป็นเมียเหรอ”
“เอ่อ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผมแค่กลัวแผนเจ้านายจะพัง… เจ้านายบอกว่าถ้าเธอตายเร็วมันจะง่ายไปนิครับ”
“ฮะ ๆ เดี๋ยวนี้รู้จักยกเหตุผลร้อยแปดมาเกลี้ยกล่อมนะธาม… เอาเถอะที่นายพูดมันก็จริง แค่นี้ยัยนั่นก็ทรมานพอแล้ว” พายุวางเอกสารในมือลง ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อโคตกับถุงมือที่ให้คนจัดเตรียมไว้ให้ทั้งหญิงและชายเดินลงด้านล่างทันที
“น้องหนึ่งทำไมไม่เข้ามาด้านใน นี่อย่าบอกนะว่ายืนรอพี่ตั้งแต่ตอนนั้น… เป็นความผิดพี่เองพี่ขอโทษนะครับ”
คำพูดของพายุทำให้คนที่ยืนหนาวถึงกับถอนหายใจยาว ทำไมเท่าที่ฟังเหมือนเธอเป็นคนโง่เองนะที่ยืนคอยอยู่แบบนี้ ถึงจะมีคำขอโทษตามมาทีหลังก็ตามทีเถอะ
“หนึ่งไม่ค่อยหนาวค่ะ”
“ไม่ค่อยหนาวอะไรกันครับ หน้าแดงจมูกแดงหมดแล้วเนี่ย พี่ขึ้นไปหาเสื้อโคตมาให้ด้วยใส่ไว้นะครับแล้วเราออกไปเดินเล่นกัน”
“ขอบคุณนะคะคุณพายุ”
น้ำหนึ่งพูดด้วยแก้มแดงระเรื่อ ตอนนี้ที่แดงไม่รู้จริงว่าเพราะหนาวหรือเพราะใจที่เต้นแรง เธอมองพายุที่กำลังสวมเสื้อโคตกับใส่ถุงมือให้ตัวเองด้วยความขวยเขิน ก่อนที่เขาจะจับมือของเธอพาเดินออกไปด้านนอกประตู
“ข้างหน้านี้ไม่ไกลมีย่านการค้า เราเดินไปเที่ยวกันดีไหมครับ”
“ดีค่ะ”
พายุจับมือเล็กของน้ำหนึ่งพาเดินตรงออกไปย่านการค้าทันที ไม่นานทั้งเขาและเธอก็มาถึงย่านการค้าที่พลุกพล่านไปด้วยคน น้ำหนึ่งมองอย่างตื่นเต้นผู้คนที่ต่างหน้าตาดีผิวพรรณก็ดีและก็มีคนแสดงความสามารถด้านการเต้นหรือร้องเยอะมากสมกับเป็นเมืองแห่งเคป๊อบ
“อยากกินอะไรไหมครับ”
“ต็อก… เอ่อ หนึ่งจำไม่ได้มันเรียกว่าต็อกอะไรเนี่ยแหละค่ะ”
“ต็อกโบกี”
“ใช่ค่ะ ต็อกโบกี หนึ่งอยากลองกินดูค่ะ”
“งั้นเราก็ไปซื้อกันเถอะ”
พายุจับมือน้ำหนึ่งไว้แน่นเพราะกลัวหญิงสาวจะหลง ตอนนี้เขาแทบจะไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองต้องกลัวผู้หญิงคนนี้หาย รู้สึกเพียงอยากจับมือเธอไว้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวตอนนี้มันหาคำอธิบายไม่ได้เลย