Surawee Restaurant
“น้ำหยิบออร์เดอร์โต๊ะ 7 มาให้หน่อย”
“ค่ะ”
“น้ำอาหารโต๊ะ 4 เสร็จแล้วเอาออกไปวางจุดรอเสิร์ฟ”
“ค่ะ”
“น้ำ…”
เสียงเรียกของเชฟแต่ละคนที่กำลังเรียกใช้ทำให้น้ำหนึ่งวิ่งวุ่นไปมา วันนี้ผู้ช่วยเชฟอีก 2 คนประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางมาทำงานเลยทำให้เหลือเธอเพียงคนเดียว และดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะต้องเหนื่อยมากกว่าปกติ อาจจะถึง 3 เท่าเพราะเจ้าของร้านไม่ยอมจ้างคนนอกมาเสริมตามที่เชฟแนะนำ โดยให้เหตุผลว่าเธอก็คงทำแทนงานส่วนที่ขาดได้ อีกอย่างงานก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ไม่เยอะตรงไหนเนี่ย ไอ้ผู้จัดการขี้งก เธอก็ได้แต่บ่นในใจ ใครจะกล้าพูดออกไปล่ะ ไม่งั้นถูกไล่ออกแน่ ๆ
“เฮ้อ ~~”
“ไหวหรือเปล่าแก”
ฝันถามเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันในระดับหนึ่งอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าวันนี้เพื่อนของตัวเองจะดูเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ เพราะเธอเป็นเชฟเลยมีแค่หน้าที่ในครัว ไม่ได้วิ่งวุ่นไปมาแบบเพื่อน
“ไหวแก” น้ำหันไปยิ้มให้ฝันอย่างเหนื่อยล้า แต่คำพูดกลับต่างออกไป
“แต่หน้าตาของแกดูเหนื่อยมากนะ มันไม่น่าจะโอเคแบบที่พูดเลย”
“เมื่อคืนฉันไม่ได้นอนน่ะ ทำงานที่ร้านเสร็จก็ไปอยู่เวรที่มินิมาร์ตต่อ”
เป็นเพราะจู่ ๆ เมื่อวานเจ้าของร้านมินิมาร์ตที่เธอทำงานอยู่โทรศัพท์มาบอกเธอว่าต้องเปลี่ยนกะทำงานกะทันหันทำให้เธอเข้ากะดึก เธอเลยไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่เมื่อวานและออกจากงานนั้นเสร็จก็ไปทำงานแม่บ้านที่รับงานไว้ต่อ
“แกจะทำงานหนักอะไรขนาดนั้น ต่อให้ทำดีหาเงินให้คนพวกนั้นมากแค่ไหน คนพวกนั้นก็ไม่มีทางสำนึกบุญคุณแกหรอก”
พอนึกถึงครอบครัวของเพื่อน ฝันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ คนพวกนี้ชอบเอาคำว่าบุญคุณมาอ้างเพื่อให้เพื่อนเธอหาเงินให้
“แกอย่าพูดแบบนั้นฝัน ลุงกับป้าเป็นผู้มีพระคุณของฉันถ้าไม่ได้พวกท่านก็ไม่รู้ว่าชีวิตฉันจะเป็นแบบไหน เพราะแบบนั้นต่อให้ฉันชดใช้ทั้งชีวิตก็คงไม่หมด” เธอพูดขึ้น
“งั้นถ้าวันหนึ่งคนพวกนั้นขอชีวิตของแก แกจะยกชีวิตให้พวกนั้นงั้นเหรอ” ฝันอดที่จะรู้สึกหงุดหงิดกับเพื่อนไม่ได้
“ถ้ามันมีวันนั้นจริงฉันก็จะให้”
น้ำหนึ่งยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ทำไมเธอถึงยอมให้ลุงกับป้าขนาดนี้น่ะเหรอเพราะคำว่าบุญคุณมันค้ำหัวไง แต่ถ้าขอชีวิตเธอจริง ๆ ก็ดีนะ เธอจะได้หลุดจากขุมนรกนี่สักที
“ฉันไม่รู้จะพูดยังไงกับแกจริง ๆ” ฝันได้แต่ถอนหายใจยาว เธอคิดว่าน้ำเป็นคนดีเกินไปถ้ารู้จักเห็นแก่ตัวกว่านี้คงจะดีกว่านี้ หลุดพ้นจากพวกมัน
“เอาละหมดเวลาพักแล้วไปกันเถอะ เดี๋ยวเถ้าแก่ก็มาบ่นอีก”
ครืด ~~ ครืด ~~
ลุงศักดิ์📞
แต่ไม่ทันที่น้ำหนึ่งจะได้เดินเข้างานโทรศัพท์ในกางเกงก็สั่นขึ้น พอเห็นว่าเป็นชื่อของใครเธอก็รีบกดรับสายทันที
“ว่าไงจ๊ะลุง”
(ว่าไงเหี้ยอะไรล่ะอีหนึ่ง ทำไมมึงถึงเพิ่งรับโทรศัพท์กู รู้ไหมกูกับป้ามึงโทร.หาตั้งกี่สาย)
พอได้ยินคำบอกของลุง น้ำก็รีบยกหูโทรศัพท์มาเปิดดูปรากฏว่าขึ้นสายไม่ได้รับเกือบ 20 สาย
“พอดีวันนี้ที่ร้านยุ่งมากน่ะลุง ว่าแต่มีอะไรจ๊ะ” เธอถามกลับอย่างแปลกใจ
(มึงหยุดทำงานแล้วออกไปตามหาจิเดี๋ยวนี้)
น้ำขมวดคิ้วเข้าหากัน จิที่ลุงหมายถึงคือลูกสาวของลุงกับป้า จิอายุมากกว่าเธอหนึ่งปีแต่ไม่ค่อยทำการทำงานหรอกส่วนมากแต่งเนื้อแต่งตัวไปหาผู้ชาย เมื่อพูดถึงจิ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งที่แล้วที่เธอเจออีกฝ่ายมาของานทำนี่นา และมันเป็นเดือนก่อนที่จิไปทำงานนี่ แล้วเธอก็ไม่เห็นหน้าลูกพี่ลูกน้องอีกเลย
“จิเป็นอะไรลุง”
(จะเป็นอะไรได้ล่ะมันหายตัวไปตั้งหลายวันแล้ว มึงรีบไปตามหาจิเดี๋ยวนี้เลยนะ)
“แต่หนึ่งทำงานอยู่นะลุง”
(กูไม่รู้ ถ้ามึงตามหามันไม่ได้มึงก็ไม่ต้องกลับมาบ้าน)
ตู๊ด ๆ
ยังไม่ทันที่น้ำหนึ่งจะพูดต่อปลายสายก็วางไปแล้ว เธอได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ ปกติจิก็หายตัวไปแบบนี้เป็นประจำ ส่วนเธอไม่ค่อยเห็นจิหรอกเพราะถ้าเธอตื่นอีกฝ่ายก็นอน เวลาที่อยู่บ้านอีกฝ่ายก็ออกไปอยู่กับแฟน การไม่เห็นหน้าเลยเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอมาก
“มีอะไรหรือเปล่าน้ำ”
“ลุงฉันโทรศัพท์มาหาบอกว่าให้ไปตามจิ”
“ลูกของลุงแกน่ะเหรอ โตเป็นควายแล้วนี่จะให้ไปตามทำไม”
ฝันนึกถึงหน้าของลูกพี่ลูกน้องเพื่อนแล้วอดคันเท้าไม่ได้ บางทีเธอก็อยากเอาเท้าตัวเองยันหน้ายัยนั่นสักทีเวลามาแบมือขอเงินเพื่อนเธอเอาไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอาง แต่ไม่ยักจะทำงาน แบมือขอเงินไปวัน ๆ เป็นทั้งครอบครัว อีเพื่อนตัวดีของเธอนี่ก็แสนดีเหลือเกินให้เงินพวกมันแม่งตลอด แม่พระมาก ฝันบ่นเหน็บเพื่อนในใจเบา ๆ
“อือ”
“โตเป็นควายแล้วยังจะให้ตามหามันอีกทำไม กลับบ้านเองไม่เป็นเหรอ”
“เห็นว่าหายไปหลายวันแล้วน่ะ ลุงกับป้าเลยเป็นห่วง”
“แล้วแกจะเอาไงยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย”
“ฉันคงต้องขอเถ้าแก่ลา” น้ำหนึ่งถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“ฉันพูดได้เลยนะว่าเถ้าแก่ไม่ให้แกลาแน่”
แต่ถึงแบบนั้นน้ำก็เลือกที่จะลองไปขอดูเผื่อฟลุก เถ้าแก่เจ้าของร้านใจดี มั้ง…
“ไม่ได้ ลื้อไม่เห็นเหรอว่าคนไม่มี ลื้อยังจะมาลาอีก แต่ถ้าลื้ออยากลาจริงที่อั๊วให้ได้ก็มีแค่ลาออก”
และก็เป็นเหมือนที่ฝันพูดจริง ๆ เถ้าแก่หน้าเลือดของพวกเธอไม่ยอมให้น้ำลาแถมยังยื่นคำขาดว่าถ้าเธอจะลาหยุดก็ให้ลาออกเลย
“ยัยน้ำแกคิดดี ๆ นะงานมันหายากนะเดี๋ยวนี้ ยิ่งพวกไม่มีวุฒิการศึกษาแบบเราแล้ว งานหายากนะแก” ฝันรีบเตือนเพื่อนของตัวเองด้วยความเป็นห่วง ถ้าเธอคิดไม่ผิดยัยน้ำหนึ่งจะเลือก
“ถ้าอย่างนั้นหนูคงต้องขอลาออกค่ะ ขอบคุณเถ้าแก่มากนะคะ”
นั่นไงกูว่าแล้ว ไอ้ฝันเอ๊ยไอ้ฝันเดาหวยไม่ถูกเสียทีวะ !
น้ำหนึ่งพูดจบก็ถอดผ้ากันเปื้อนที่เอวออกก่อนจะไหว้เถ้าแก่เจ้าของร้าน และหันไปยิ้มให้เพื่อนก่อนเดินออกไปไม่ลืมหยิบกระเป๋าตัวเองแล้วเดินออกจากร้าน
“ยัยน้ำเดี๋ยวสิ !!”
“มีอะไร” น้ำหนึ่งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“เฮ้อ ! ไม่มีอะไร ถ้างั้นเลิกงานแล้วเดี๋ยวฉันโทรศัพท์หา” ฝันปลงกับเพื่อนที่ตัดสินใจแบบนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอได้แต่เป็นห่วง
“ได้ ! งั้นฉันไปก่อนนะแก”
“เออ ระวังตัวด้วย”
น้ำหนึ่งยิ้มให้ฝันก่อนจะหันกลับไปโบกรถแท็กซี่ที่กำลังขับผ่านมา
19.00 น. (ถนนนางดี ซอยตันตัน)
“ยัยนั่นน่ะเหรอคือคนสุดท้ายในรายชื่อเด็กเสิร์ฟวันนั้น”
สายตาของคนที่กำลังจับจ้องไปหญิงสาววัย 20 ต้น ๆ ที่กำลังเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวทางเข้าสลัมด้วยแววตาเคียดแค้น ดูเหมือนว่าเขาจะเจอคนสุดท้ายในงานแต่งเขาวันนั้นแล้ว และดูเหมือนคนที่ชื่อน้ำหนึ่งนี่จะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับคนรักของเขาก่อนตาย ความจริงเขาจะใช้กฎหมายมาจัดการเธอก็ได้ แต่มันไม่ได้ทำให้เขาสะใจเหมือนตัวเขาแก้แค้นเองหรอก จะบีบให้ทรมานให้ตายคามือหรือจะทำอะไรกับเธอก็ได้ ! นัยน์ตาเคียดแค้นของชายหนุ่มแวบผ่าน
“ใช่ครับเจ้านาย”
“พวกแกมันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ แค่ผู้หญิงธรรมดาไม่มีอะไร ยังใช้เวลาเป็นเดือนตามหา” พายุพูดด้วยน้ำเสียงต่ำจนคนฟังอดหวั่นใจไม่ได้
“ผมขอโทษครับเจ้านาย”
ธามลูกน้องคนสนิทอีกคนของพายุถึงกับต้องรีบก้มหัวขอโทษเจ้านายที่อยู่ด้านหลัง แต่เหตุผลที่เขาตามตัวช้าเพราะว่าทางโบสถ์ที่จัดงานไม่มีกล้องวงจรปิดและทางคนจัดงานบอกว่าเด็กคนนี้เป็นแค่พนักงานใหม่จ้างมาเพื่อช่วยงานนี้โดยเฉพาะ กว่าจะได้ข้อมูลมาก็เกือบ 1 อาทิตย์
“ฉันมีงานให้พวกแกทำ”
“ครับ”
พอเห็นรอยยิ้มที่ผุดบนใบหน้าของเจ้านายก็ทำเอาลูกน้องที่นั่งอยู่ด้านหน้าถึงกับขนลุก หลังจากที่คนรักของเจ้านายพวกเขาตายไป เจ้านายก็เปลี่ยนไปมาก โหดและเหี้ยมมากกว่าสมัยก่อน ความจริงก็โหดอยู่แล้ว แต่พอมีคนรักก็ดีขึ้น ตอนนี้ดันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ทำเอาลูกน้องแบบพวกเขาตามอารมณ์แทบไม่ทัน