3
แค่อุบัติเหตุ
พวงชมพู: ‘วันนี้ออกไปเจอพี่ธามไม่ได้นะคะ ชมพูเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อวานที่กลับถึงบ้าน พี่ธามเดินทางปลอดภัยนะคะ’
ธาม: ‘ไม่เป็นไรครับ นอนเยอะๆ กินยาด้วยจะได้หายไวไว คิดถึงนะ ถ้าพี่ถึงนิวยอร์กแล้วจะบอกนะ’
ธนนท์เปิดอ่านข้อความจากคนรักที่ไม่มีการตอบกลับ หรือแจ้งให้ทราบว่าเห็นข้อความของเขาที่ส่งไปตั้งแต่ช่วงสาย จวบจนตอนนี้ก็สี่โมงเย็นแล้ว
เขาเป็นห่วงกลัวพวงชมพูจะไม่สบายหนัก หลังจากสิ้นฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อวาน ก็ตามมาด้วยแดดเปรี้ยงที่ทิ้งช่วงห่างกันไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ธนนท์พาเธอตะลอนเที่ยวหลายสถานที่ จึงไม่แปลกนักที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายสู้ไม่ไหว
“เรียบร้อยหรือยังลูก” จารวีเดินออกมาจากตัวบ้านด้วยกระเป๋าใบเล็กที่คล้องแขนเพียงหนึ่งใบ รอยยิ้มเนือยมอบให้ลูกชายเพียงคนเดียวที่ยืนพิงรถยนต์จ้องจอมือถือ
“ขนกระเป๋าไว้ท้ายรถแล้วครับ ผมไม่เอาอะไรไปเยอะ ขี้เกียจขน แล้วตกลงแม่จะกลับกรุงเทพฯ เลยมั้ยครับ”
ก่อนหน้านี้มารดาให้คำตอบแบบอ้ำอึ้งว่าจะอยู่เชียงใหม่ต่อ หรือกลับไปจัดการบ้านหลังใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร พ่อแม่ของเขาตั้งใจปักหลักอยู่ที่เชียงใหม่แล้วก็จริง แต่ยังมีอีกหลายสิ่งในกรุงเทพฯ ที่ยังจัดการไม่ลงตัว
“ก็น่าจะกลับเลยนะ แม่จองตั๋วไว้แล้วล่ะ”
“แล้วพ่อล่ะครับ” ธนนท์ชะเง้อเข้าไปในบ้านสองชั้นหลังใหญ่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขาย การตกแต่งภายในจึงยังไม่เรียบร้อยดี จารวีเหลียวมองตามสายตาลูกชายพลางระบายลมหายใจ
“พ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับอาทินอยู่ น่าจะทะเลาะกันแหละ...อะ มาพอดี”
“โทษทีนะธาม พ่อคุยกับอาทินนานไปหน่อย”
ธนากรหรือทัต หัวหน้าครอบครัวกาลกุลพิทักษ์ สลับฝีเท้าเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อรู้ว่าเลยเวลามามากแล้ว มือหนาตบบ่าลูกชายพลางพยักหน้ากับภรรยาให้เข้าไปในรถ วันนี้เขารับหน้าที่ขับรถพาลูกชายไปส่งสนามบินเพื่อต่อเครื่องกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก ซึ่งปกติธนากรไม่ขับรถเอง แต่วันนี้คนขับรถลาป่วยกะทันหันโดยให้เหตุผลว่ามื้อกลางวันทานอาหารแสลงมา
ธนากรดันขาแว่นให้กระชับกับสายตา ในขณะบังคับพวงมาลัยไปตามเส้นทางที่ฝนฟ้าเริ่มไม่เป็นใจตกกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ
“พ่อทะเลาะกับอาทินอีกแล้วเหรอครับ”
ธนนท์ชวนคุยจากเบาะหลัง นับตั้งแต่คุณปู่จากโลกนี้ไปเมื่อสองเดือนก่อน ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ไม่เหมือนเดิม ธนนท์รับรู้ความบาดหมางนี้จากที่มารดามักโทร.มาเล่าให้ฟังตอนเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา สาเหตุของความร้าวฉานของสองพี่น้องคือพินัยกรรมที่ระบุแบ่งทรัพย์สินให้บิดาของเขาซึ่งเป็นพี่ชายคนโตในสัดส่วนที่มากกว่าทินวุฒิผู้เป็นน้องชาย ที่ดิน กิจการ หุ้นส่วนต่างๆ ล้วนยกให้ธนากรและลามมาเป็นของธนนท์ ในขณะที่ทินวุฒิผู้เป็นลูกชายแท้ๆ กลับได้เพียงหยิบมือ
“พ่อไม่อยากทะเลาะหรอก ทุกวันนี้แทบไม่อยากเจอหน้าด้วยซ้ำ แต่ยิ่งเลี่ยงยิ่งไม่รับสาย มันก็ยิ่งตื๊อไม่เลิกรา พักหลังมานี้ชักหนักข้อขึ้น หลายครั้งแล้วนะที่มันขู่จะฆ่าพ่อ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ลูกชายอดกังวลไม่ได้ ธนนท์พอรู้นิสัยอาทินวุฒิอยู่บ้าง รายนั้นเจ้าอารมณ์โมโหร้าย ยิ่งตอนนี้ถูกผีพนันเข้าสิงยิ่งน่ากลัว
“เพราะสมบัติของปู่เรานั่นแหละที่เทมาให้เราสองคนจนทินมันเดือด พ่อก็เข้าใจความรู้สึกทินนะ และก็เข้าใจในพินัยกรรมด้วย ทินเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ปู่เราเคยส่งไปทำงานที่ไหนก็ล้มก็เละ ไม่มีศักยภาพในการบริหาร งานการไม่ทำ ไอ้วุฒิป.ตรีที่ได้มาก็ใช้เงินซื้อทั้งนั้น ไม่งั้นมันเรียนไม่จบหรอก พ่อก็ยื่นข้อเสนอให้ทินปรับปรุงตัว ถ้าเลิกเล่นพนันได้เมื่อไหร่จะแบ่งสมบัติให้อย่างเท่าเทียม แต่มันไม่ยอมไง เอาแต่ด่าว่าพ่อสารพัด”
“ถึงขั้นขู่ฆ่าผมว่าพ่อไม่ควรนิ่งนอนใจแล้วนะ ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้” เคสพี่น้องแย่งสมบัติจนถึงแก่ชีวิตมีให้เห็นกันเกลื่อนโลก
“นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ ธามไปหาอาฐานะ ฐาเป็นเพื่อนรักที่พ่อไว้ใจที่สุด” ธนากรฝากฝังทีเล่นทีจริง ก่อนนิ่วหน้าเหยเก ยกมืออีกข้างทุบหน้าอก อยู่ๆ ก็รู้สึกรวดร้าวและหายใจติดขัด พอหันไปทางภรรยาก็พบว่ากำลังชักเกร็ง
“พ่อกับแม่เป็นอะไรครับ จอดรถเลย!” ผู้เป็นลูกสติแทบกระเจิงกับอาการของพ่อแม่ที่เป็นไปในทางเดียวกัน
“ธะ ธาม...” ธนากรเปล่งคำพูดออกมาอย่างยากเย็น มือเท้าแข็งเกร็งจนไม่สามารถเหยียบเบรกได้
ธนนท์พยายามปีนขึ้นมาแทนที่บิดา สองมือจับพวงมาลัยอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางถนนหนทางที่คลุมด้วยห่าฝนจนสองพ่อลูกไม่ทันเห็นว่ามีรถกระบะสีดำวิ่งมาขวางหน้า
ความตกใจพามือของธนนท์ที่เอื้อมผ่านร่างชักเกร็งของบิดาหักพวงมาลัยหลบ ส่งผลให้พุ่งชนขอบสะพานอย่างแรงก่อนพุ่งข้ามราวกั้นตกลงไปในน่านน้ำลึกทั้งคันรถ ท่ามกลางห่าฝนที่ถล่มลงมาราวกับโกรธอะไรมนุษย์นักหนา
.......
พวงชมพูไม่ได้เจอพี่ธามอีกเลยหลังจากเย็นวันนั้นที่ส่งเธอลงตรงจุดนัดพบเดิม เธอเป็นไข้นอนซมข้ามวันข้ามคืน ธนนท์อยากให้เธอพักผ่อนเต็มที่จึงไม่ได้โทร.หรือส่งข้อความมาบ่อยนัก ซึ่งเมื่อวานเป็นวันที่เขาต้องขึ้นเครื่องกลับนิวยอร์ก นัดไว้แล้วแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ร่ำลา เมล็ดดอกพวงชมพูที่ธนนท์อยากได้ก็เลยไม่ถูกส่งถึงมือ
‘ไม่เป็นไรครับ นอนเยอะๆ กินยาด้วยจะได้หายไวไว คิดถึงนะ ถ้าพี่ถึงนิวยอร์กแล้วจะบอกนะ’
“ป่านนี้คงถึงแล้วมั้ง” พวงชมพูพึมพำแล้วตามมาด้วยเสียงไอค่อกแค่ก สายตาจ่อบนจอกับข้อความสุดท้ายของคนรักที่ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งช่วงที่เขาส่งมาเธอเอาแต่นอนซมเพราะฤทธิ์ยา จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่สร่างจากไข้ดีนัก
‘ถึงหรือยังคะ?’
พวงชมพูกดส่งข้อความและตบท้ายด้วยสติ๊กเกอร์รูปหมีสงสัย เท้าคางจ้องจอนานนับนาที แต่ก็ไร้วี่แววการมองเห็นจากอีกฝั่ง
พวงชมพูละสายตาจากโทรศัพท์เมื่อรับรู้ฝีเท้าที่ตรงมายังห้องนอน จึงกดปิดการทำงานของหน้าจอพลางลุกจากเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ
“ดีขึ้นแล้วเหรอลูกถึงลุกจากเตียงได้”
สายน้ำผึ้ง สตรีวัยสี่สิบแปดปีที่ความอ่อนเยาว์ทรยศช่วงวัย ดวงตาสดใสมีชีวิตชีวา โครงหน้างดงามสมกับตำแหน่งนางงามมีมงกุฎ รูปร่างก็เพรียวระหงหาไขมันไม่ได้เลยสักส่วน ซึ่งยีนเด่นนี้ส่งต่อมาถึงพวงชมพูเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ แค่ตัวรุมๆ นิดหน่อย ให้ลุกบ้างเถอะค่ะ กินยาจนจะหลับครบสี่สิบแปดชั่วโมงอยู่แล้ว”
“แม่ทำข้าวต้มหมูสับมาให้ กินข้าว กินยา แล้วก็ไปอาบน้ำซะ นี่ฝนก็ตกอีกแล้ว”
“ก็หน้าฝนนี่คะ ว่าแต่พ่อยังไม่กลับเหรอคะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้วนะ”
“มีสักกี่ครั้งกันที่พ่อเราเขากลับบ้านตรงเวลา งานสอบสวนก็แบบนี้แหละ” ผู้เป็นภรรยาอย่างเธอชินชาเสียแล้ว
ภาวิตบ่นกับเธอทุกเมื่อเชื่อวันว่าอยากขอย้ายไปอยู่ส่วนงานปราบปรามเหมือนเดิม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นขยับขยายสักที ในขณะที่เพื่อนตำรวจย้ายกันสนุกสนานทั่วแคว้นแดนไทย ส่วนสามีที่รักยังปักหลักอยู่เชียงใหม่เข้าปีที่หกแล้ว ซึ่งสายน้ำผึ้งไม่มีปัญหากับสถานที่ แค่อยากเห็นสามีเครียดกับงานน้อยลงกว่านี้
“แล้วพี่พุดกลับมาหรือยังคะ”
“เมื่อกี้โทร.บอกแม่ว่ากำลังจะกลับ ชมพูกินข้าวกินยาแล้วไปอาบน้ำเถอะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ขาดเรียนอีกหรอก”
สายน้ำผึ้งลูบเรือนผมลูกสาวอย่างห่วงใย ต่อให้ตัวโตเป็นสาวเต็มวัยอย่างไร ในสายตาคนเป็นแม่ก็ยังเป็นยัยหนูตัวน้อยอยู่ดี พวงชมพูพยักหน้ารับ มองตามหลังมารดาที่ออกไปพร้อมปิดประตูห้องนอน ซึ่งก่อนหน้านี้เธอเปิดระบายอากาศไว้
พวงชมพูกลับมาสนใจโทรศัพท์อีกครั้งพร้อมริมฝีปากที่เบะคว่ำเล็กน้อย ยังไม่มีการตอบกลับจากแฟนหนุ่มเช่นเดิม เขาขึ้นเครื่องตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนตอนนี้ก็ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว พี่ธามอาจแลนด์ดิ้งแล้วและกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับอะพาร์ตเมนต์ก็ได้ เดี๋ยวจัดการข้าวของเสร็จแล้วเขาก็คงติดต่อมา เรื่องแค่นี้เองเธอไม่ควรกังวล
ทั้งที่กล่อมใจสารพัดแต่ความรู้สึกข้างในกลับว้าวุ่นและวูบโหวง ทั้งเป็นห่วงผสมกังวลกลัว ...เธอกลัวเขาเป็นอันตราย ในขณะเดียวกันก็กลัวจะถูกทิ้ง
นับจากวันที่ทอดกายยอมให้พรากความสาว พวงชมพูก็จมอยู่กับความรู้สึกผิดทุกครั้งที่ลืมตาตื่น แม้ซมด้วยพิษไข้ แต่หัวใจไม่เคยหยุดรู้สึก ยังก่นด่าในความใจง่ายของตัวเอง พวงชมพูไม่ใช่คนหัวโบราณที่อยากเก็บครั้งแรกไว้ให้เจ้าบ่าวที่จะเข้าพิธีวิวาห์ เพียงแค่รู้สึกว่าอารมณ์เตลิดที่เกิดขึ้นในรถวันนั้นมันเร็วเกินไปเมื่อเทียบกับการเป็นแฟนกันเพียงสิบสี่วัน
พวงชมพูสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านแล้วตรงไปหยิบผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำ ข้าวต้มที่แม่ทำมาควันยังลอยกรุ่น ทิ้งไว้สักพักพออาบน้ำเสร็จคงทานได้คล่องคอพอดี และหลังจากนั้นพี่ธามก็อาจติดต่อกลับมา
........
“อุบัติเหตุรถตกน้ำเมื่อวานอยู่ในความรับผิดชอบคุณใช่ไหม สารวัตรภาวิต”
“ครับ กู้ซากรถขึ้นมาได้แล้ว และไม่พบผู้รอดชีวิต ผู้ตายเป็นนักธุรกิจพันล้าน จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่าปกติเขาไม่ขับรถเอง จะมีคนขับรถให้ตลอด แต่วันเกิดเหตุคนขับรถมีอาการท้องเสียรุนแรง ผู้ตายจึงขับเองเพื่อพาลูกชายไปส่งสนามบิน”
“คุณได้ข้อมูลมาจากไหน”
“คำให้การจากคนขับรถที่บ้านของผู้ตายครับ”
“โง่จริงๆ” คนรับรายงานจากสารวัตรภาวิตพึมพำหัวเสีย
“อะไรนะครับท่าน”
ผู้กำกับมารุตส่ายหน้าไม่อธิบายเหตุผลที่สบถ แล้วยิงคำถามหยั่งเชิงแทน “แล้วสารวัตรคิดว่าไง”
“เบื้องต้นผมยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ รอผลตรวจซากรถจากพิสูจน์หลักฐานก่อนครับ แต่ส่วนตัวมองว่ามีสิทธิ์เป็นการฆาตกรรมอำ...”
คนรับฟังรายงานกระแอมเสียงขัด ทั้งยังกางฝ่ามือเป็นการปรามให้หยุดพูด พันตำรวจตรีภาวิต ภัทรพิมดาว กลืนคำพูดลงคอทันที
พันตำรวจเอกมารุต ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรที่รับผิดชอบคดีลุกขึ้นจากเก้าอี้หนังเทียม พลางแลสายตาไปทางประตูห้องที่ปิดมิดชิดอยู่แล้ว และคงไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาแอบฟังอยู่หน้าห้องผู้กำกับ
“ปรบมือให้เลย คุณเดาเก่ง ฉลาดมาก ใช่แล้วล่ะคดีนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ เป็นการอำพรางฆ่า แต่สารวัตรลืมความจริงนี้ไปซะเถอะ”
“ครับ?” สารวัตรภาวิตย่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำสั่งที่ดังลอดไรฟัน ตกใจยิ่งกว่านั้นคือผู้กำกับพูดออกมาเองว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง
“ไม่ว่าความจริงมันเป็นยังไง หน้าที่ของสารวัตรคือทำให้คดีนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุที่ไร้เงื่อนงำ คุณเป็นสารวัตรสอบสวนก็สรุปสำนวนตามที่ผมสั่งก็พอ และเมื่อวานที่บอกให้ปรามสื่อทำไมจัดการไม่ได้ ดีนะที่ข่าวนี้ไม่ดังมากเพราะมีกระแสข่าวอื่นกลบอยู่”
“สื่อเป็นอะไรที่ห้ามยากมากครับ แต่ผู้กำกับครับผมไม่เข้าใจคำสั่งท่าน ท่านยอมรับว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางทั้งที่ผลชันสูตรยังไม่ออก ท่านออกคำสั่งแบบนี้หมายความว่าไงครับ”
“ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหน แค่สารวัตรทำตามที่ผมสั่งก็พอ เรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่คุณคิด ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องมีคำถาม แค่ทำตามที่สั่งก็พอถ้าไม่อยากแลกกับครอบครัวของคุณ”
“ผู้กำกับหมายความว่าไง” ครอบครัวเขาถูกลากมาเกี่ยวกับการทำงานได้อย่างไร ภาวิตกัดกรามแน่น สายตาเดือดประทับบนหน้าผู้บังคับบัญชาอย่างลืมความนอบน้อม
“ก็อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่คุณคิด ว่ากันตามจริงคดีนี้ไม่ใช่คุณหรอกที่ต้องทำ เผอิญผู้กองโชติรถล้มเมื่อวาน เจ็บหนักและคงกลับมาทำงานอีกไม่ได้ มันก็เลยเป็นคุณไง”
“นี่ผู้กำกับกำลังบังคับผมให้เปลี่ยนสำนวนคดี และบังคับผมให้เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ผมทำไม่ได้หรอก ในเมื่อคนตายตายอย่างไม่ยุติธรรม แล้วจะให้บิดเบือนได้ยังไง ถ้าผลจากพิสูจน์หลักฐาน และผลชันสูตรออกมาเมื่อไหร่ คงมีพิรุธที่ชัดเจนหลายอย่าง ถึงตอนนั้นท่านจะโกหกหลักฐานยังไง”
“อย่าพูดเหมือนคนอ่อนต่อโลกหน่อยเลย คุณอยู่ในวงการตำรวจมาตั้งกี่ปี เริ่มจากนายสิบ สอบขึ้นเป็นนายร้อยและเลื่อนเป็นนายพัน คุณยังไม่รู้อีกเหรอสารวัตรภาวิตว่าการกลบเกลื่อนทำลายหลักฐานมันง่ายนิดเดียว”
“แต่...”
“ฟังนะ!” ผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสถานีตำรวจภูธรตบฝ่ามือฉาดกับโต๊ะทำงาน “แค่สารวัตรทำตามที่ผมสั่งมันจะไม่มีอะไรยากเลย คนที่สั่งการเขาอยากให้มันเป็นอุบัติเหตุที่แนบเนียนที่สุด ไร้ข้อสงสัยและจะไม่ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย”
ไม่ขัดขวางบ้าอะไรวะ! แบบนี้เรียกว่าไม่ขัดขวางเหรอ ภาวิตสบถในใจขณะที่มือกำหมัดแน่น
“การชันสูตรพลิกศพก็ปล่อยให้แพทย์ทำงานไปไม่ก้าวก่าย ทางคนสั่งงานเขาไม่รีบร้อนอยากให้เป็นไปตามขั้นตอนอย่างแนบเนียน แต่หากผลออกมาเมื่อไหร่คุณก็แค่ไม่ต้องสนใจผลชันสูตรฉบับนั้น ให้ใช้ฉบับที่ผมร่างไว้แล้ว สารวัตรน่ะไม่ต้องทำอะไรเลยแค่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนนี้ เขียนๆ ตามที่ผมต้องการ คุณไม่อยากเป็นสมรู้ร่วมคิดก็ไม่ต้องเป็น ง่ายๆ แค่นี้เอง”
“ง่ายก็ทำเองดิวะ”
“ผมเป็นผู้กำกับ คุณเป็นสารวัตรสอบสวนอย่าถามอะไรโง่ๆ สิ เพราะคุณเป็นแบบนี้ไงเลยไม่เจริญในหน้าที่ ไม่รู้จักเข้าหานาย ทำตัวตงฉินแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีกิน ทำตามที่ผมสั่งอย่าเรื่องเยอะ”
“ผมไม่ทำ!” พันตำรวจตรีภาวิตสะกดชัดทีละคำ ก่อนผลุนผลันออกไปจากห้องผู้บังคับบัญชา