หญิงสาวในชุดทำงานทะมัดทะแมงตื่นแต่เช้าโบกแท็กซี่ตรงไปที่สำนักงานเขตก่อน แล้วถึงจะเข้าบริษัทในช่วงสาย ใช้เวลารอคู่นัดนานเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงจะเห็นร่างสูงปราดเปรียวที่คุ้นตาเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบ ท่าทางเอ้อระเหย แต่กลับดูดีสุดๆ ในชุดเสื้อยืดสวมทับเบลเซอร์เข้ากับกางเกงสแล็กแบบ cuff pants สวมใส่รองเท้าหนังลูกวัวทรงคลาสสิก เปล่งประกายความหล่อเหลาเจิดจ้าจนผู้คนต้องเหลียวหลัง
หัวใจที่เต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ มาโดยตลอดตั้งแต่ลืมตาก็ผ่อนคลายลง โมฬีถอนหายใจโล่งอก ดวงตาคู่กลมคลายแววกังวล เธอรีบวิ่งเข้าไปหารดิศแล้วเอ่ยด้วยความดีใจ
“คุณมาจริงๆ ด้วย”
“เธอไม่เชื่อฉัน?” รดิศเลิกคิ้วถาม
“ไม่... ไม่ใช่นะคะ ฉันก็แค่...”
“เธอแค่ไม่คิดว่าฉันจะมาจริงๆ”
โดนเขาอ่านความคิดของเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง โมฬีก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แทนการแก้ตัว ก่อนจะเดินตามรดิศเข้าไปในสำนักงานเขต เมื่ออีกฝ่ายตัดบทแล้วสั่งเพียงสั้นๆ ว่า
“ตามมา”
สองหนุ่มสาวนั่งอยู่หน้านายทะเบียน ระหว่างนั้นก็ได้ยินเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตสองสาวกับหนึ่งหนุ่มกระตุ้งกระติ้ง เอ่ยซุบซิบเสียงไม่เบาจนแว่วเข้าหูว่า
“ผู้ชายคนนี้หล่อมาก หล่อวัวตายควายล้ม หล่อจนเก้งอย่างฉันอยากจะคว้ามาทำผัว”
“นี่ขนาดนั่งเฉยๆ นะ ยังทำเอาใจบาง ถ้ายิ้มจะยิ่งขนาดไหน”
“หล่อๆ แบบนี้ให้ฉันนั่งมองทั้งวันก็ไม่เบื่อ”
ขณะที่สามแท้สาวเทียมกำลังพร่ำเพ้อ คนที่ถูกพาดพิงก็หันมายิ้มบางๆ ส่งให้ ทำเอาพวกหล่อนตาถลนใจระทวย ร่ำๆ จะเป็นลมต้องรีบหายาดมขึ้นยัดใส่จมูก ดวงตาพร่าพรายเพราะยิ้มหวานๆ บาดใจที่กระแทกเบ้าตาเข้าเต็มๆ
ยังเจ้าชู้เหมือนเดิม...
โมฬีแอบหมั่นไส้พ่อคนชอบอ่อย คงจะรู้สินะว่าตัวเองหล่อ ถึงได้เที่ยวบริหารเสน่ห์เรี่ยราดไปทั่ว ไม่กลัวใครจะสะดุดลื่นล้ม
คิดแล้วก็อดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ ตอนจดทะเบียนสมรสกันรอบแรก รดิศไม่ยิ้มให้เธอเลยสักเซ็นต์ ถึงหน้าเขาจะไม่บึ้งเหมือนกับยักษ์วัดแจ้ง แต่ก็ขรึมจนนึกว่าท้องผูก ทำยังกับว่าเขาถูกเธอเอาปืนจ่อหัวบังคับลากตัวมาอย่างนั้นแหละ ปกติเธอก็เห็นรดิศยิ้มร่า เที่ยวโปรยเสน่ห์กับสาวๆ ไปทั่ว แต่ทีกับเธอทำไมถึงได้ยิ้มยากยิ้มเย็นนักก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เธอชอบรอยยิ้มของเขามาก เรียกว่าแพ้เลยก็ได้
ผู้ชายอะไร...ยิ้มสวยชะมัด!
โมฬียังจำความรู้สึกวันนั้นได้ นึกทีไรก็ยังรู้สึกไม่ดีทุกครั้ง นายทะเบียนและผู้คนที่นี่เลยพากันมองรดิศด้วยความเห็นใจที่ต้องมีเมียใจร้ายอย่างเธอ ทำราวกับอยากจะยื่นเชือกให้เขาเอาไปผูกคอตาย เพื่อหนีเธอเสียกระนั้น เธอไม่อยากอับอายขายขี้หน้าแบบนั้นอีก เลยแอบกระซิบข้างๆ หูเขาว่า
“ยิ้มหน่อยสิคุณ” หันมาทางฉันนี่ ไม่ใช่มัวแต่โปรยยิ้มให้สาวอื่น โมฬีเอ่ยพร้อมกับส่งสายตาเคี่ยวเข็ญ
“วุ่นวาย เราแค่มาจดทะเบียนกันเฉยๆ” เขายักไหล่ ไม่เห็นว่าสิ่งที่เธอพูดจะสำคัญตรงไหน
“เราอุตส่าห์ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ควรจะร่วมมือแสดงให้สมบทบาทหน่อยมั้ย”
เธอพูดพร้อมกับฉีกยิ้มหวานให้เขา คงไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่ามันทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ ไม่อาจละสายตาออกจากใบหน้าจิ้มลิ้มที่ลอยยิ้มยั่วอย่างทะเล้นได้เลย ลักยิ้มสองข้างเป็นรอยบุ๋มช่วยเพิ่มเสน่ห์ความน่ารักให้แก่หญิงสาว
ยิ่งยิ้มแก้มโมฬีก็ยิ่งป่อง ทำให้ใจเขาว้าวุ่นไปกันใหญ่ ทั้งที่เพียรเก๊กหน้าดุอยู่ตั้งนาน แต่ก็เกือบเผลอไผลเอื้อมมือไปบีบแก้มนุ่มๆ ของเธออย่างนึกมันเขี้ยวเข้าแล้วไหมล่ะ ยังดีที่เขาตะปบมือตัวเองเอาไว้ได้ทัน
รดิศผลักหัวแม่สาวหน้าเด็กออกเบาๆ ให้พ้นระยะที่ทำให้ใจเขาสั่น เอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก
“เลิกเล่นได้แล้ว”
เขาพยักหน้ากับนายทะเบียนที่มองมายังพวกเขายิ้มๆ กึ่งล้อกึ่งแซว จรดลายมือลงบนเอกสารสำคัญครบถ้วนทุกกระบวนการ แล้วก็หยิบใบทะเบียนสมรสยื่นให้ภรรยาสาวคนละใบ พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวานตามที่เธอบอกบท
โมฬีมองหน้าเขาแล้วเหมือนจะตาพร่า จึงหลุบตามองใบกระดาษที่ระบุสถานะการสมรสของตัวเอง ความรู้สึกงุนงงปรับตัวไม่ทันไม่ต่างจากคราวแรกแม้แต่น้อย ใครจะคิดละว่าเธอจะแต่งงานกับผู้ชายคนเดิมคนนี้ถึงสองครั้งสองหน
โลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เลยหรือ?
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ...
“ขอแสดงความยินดีกับพวกคุณทั้งสองด้วยนะครับ ที่กลับมารักกันใหม่อีกครั้ง น้อยคู่นะครับที่จะโชคดีแบบพวกคุณสองคน”
นายทะเบียนพลอยยินดีกับทั้งคู่ จากการสอบถามข้อมูล ทำให้ทราบว่าทั้งคู่เคยแต่งงานและหย่ากันที่สำนักเขตนี้มาแล้วรอบหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ”
โมฬียิ้มแฉ่งกับนายทะเบียน พลางซบศีรษะบนไหล่กว้างอย่างสวีตหวาน ปอยผมที่รวบเป็นหางม้าเขี่ยไปเขี่ยมาสะกิดที่ซอกคอของรดิศ ทำให้เขาเกิดอาการจั้กจี้ที่หัวใจ ทว่ายังคงเก็บทรงเก่ง ทั้งสีหน้าและแววตาไม่เผยความรู้สึก แต่ท่อนแขนเรียวยาวกลับตวัดโอบรัดเอวแบนบางราวกับจงใจแสดงสิทธิ์ เอาโมฬีถึงกับสะดุ้ง เงยหน้ามองเขาเลิ่กลั่ก เมื่อปลายนิ้วลูบไล้สีข้างเธออย่างยั่วเย้า
“ทำอะไร?”