เธอกัดฟันถามเสียงแผ่วหวิว นั่งตัวแข็งยืดหลังตรงแหน่ว หญิงสาวดึงมือที่ยุ่มย่ามเหมือนปลาหมึกออกอย่างลับๆ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต คนตีมึนกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้มือก็ยังขืนอยู่จุดเดิม
“ก็กำลังสวมบทให้สมจริงไง”
โมฬีค้อนขวับ ไอ้ที่บอกว่า ‘สมจริง’ ดูอย่างไรก็เหมือน ‘แต๊ะอั๋ง’ เธอมากกว่า แล้วลูบก็ไม่ลูบเฉยๆ จะเลื่อนสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ทำไม๊ เธอหวาดเสียวจนจะหายใจไม่ทั่วท้องอยู่แล้วเนี่ย จงใจแบบนี้ยังจะมีหน้ากล้ามาแถแบบหน้าด้านๆ อีก!
รดิศยิ้มกริ่มราวกับรับรู้ว่าเธอกำลังด่าเขาไฟแลบอยู่ในใจ แต่หนังเขาหนา หน้าก็ด้านพอๆ กันนั่นแหละ แค่ถูกสายตาทิ่มแทงให้พอแสบๆ คันๆ อย่างนี้ไม่ระคายผิวหนังและหนังหน้าของเขาหรอก
ช่วยไม่ได้... ใครใช้ให้เธอวุ่นวายดีนักละ
ที่หัวใจเขาคันยุบยิบว้าวุ่นจนคิดอะไรไม่ออก ทั้งหมดก็เพราะโมฬีนั่นแหละ เพราะเธอขยันยั่วทำให้ใจเขาปั่นป่วน ต่อให้จะรู้หรือไม่รู้ตัว แต่โมฬีจะต้องรับผิดชอบ
เรื่องอะไรมาทำให้เขาใจสั่นอยู่ฝ่ายเดียว เธอก็ต้องใจสั่นเหมือนเขาด้วย!
ใบหน้าคมคายโน้มต่ำลงมาหา สองตาวามวาวจ้องไปยังจุดหมายอยู่ที่กลางหน้าผากโหนกมน ตั้งใจจะฝากรอยอุ่นๆ ให้หนักๆ แทนริมฝีปากจุ๋มจิ๋มที่เขาสัมผัสไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่สาวเจ้าระวังตัวแจ แค่เห็นท่าเขาก็คงจะรู้ทัน จึงทะลึ่งผุดลุกก่อนที่เขาจะทันได้ประทับริมฝีปากลงไป
“สะ เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ งั้นพวกเราลากลับเลยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
โมฬีรีบยกมือไหว้นายทะเบียน แล้วเดินออกไปเร็วปร๋อราวกับมามีหมาไล่กัดตูด คงจะเขินจัดเลยล่ะสิ หึหึ...
รดิศมองภรรยาเพียงหนึ่งเดียวทั้งในอดีตและปัจจุบัน มุมปากหยักยกอย่างพอใจ หันไปผงกหัวกับนายทะเบียน รวมถึงสามสาวที่แอบส่องเขาไม่วางตา แล้วจึงลุกเดินจากไปโดยไม่เร่งรีบ ท่าทีเกียจคร้านนิดๆ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูเป็นธรรมชาติและเซ็กซี่กินขาด
ขาเพรียวก้าวยาวเพียงไม่กี่ก้าวก็ทันถึงตัวโมฬี รดิศเอื้อมมือไปคว้าข้อมือบาง เมื่อเธอเดินไปคนละทางกับที่รถสปอร์ตคันหรูของเขาจอดอยู่
“ทางนี้” เขาถือวิสาสะจูงมือเธอแล้วออกเดินนำ แต่โมฬีขืนตัวไม่ยอมเดินตาม
“ฉันจะไปทำงาน”
“ก็ไปสิ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเกรงใจ คุณไปทำธุระของคุณเถอะ” เอ่ยปากไล่ทางอ้อม
“ธุระของฉันก็คือเธอ”
“ฉัน?” โมฬีนิ่วหน้า ทะเบียนสมรสก็จดเสร็จแล้ว ต่างคนต่างไปเหมือนกับตอนที่แต่งงานรอบแรกก็ถูกแล้วนี่ เขายังจะมีเรื่องอะไรกับเธออีก
ยุ่งชะมัด!
รดิศเห็นสายตารำคาญของสาวเจ้าแล้วชักจะฉุน เลยโพล่งออกมาเสียงดังจงใจให้คนแถวนี้ได้ยิน
“นี่ได้ฉันแล้ว ก็คิดจะเฉดหัวกันเลยเหรอ”
โมฬีตาโตตกใจ สีหน้าเลิกลักเหลียวมองคนรอบข้างด้วยความอับอาย ไอ้หมอนี่ทำไมถึงได้พูดจาสองแง่สองง่ามชวนให้คิดลึกแบบนี้นะ ใครฟังก็ต้องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น
พูดยังกับเธอฟันแล้วทิ้งยังงั้นแหละ!
“คุณพูดบ้าอะไรเนี่ย” เธอกัดฟันถามด้วยความโมโห
“ฉันพูดผิดรึไง เธอชวนฉันมาจดทะเบียนสมรส พอสมใจแล้วก็สะบัดก้นทิ้งไปเฉยเลย ฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ”
โมฬีอ้าปากพะงาบๆ อยากจะพ่นน้ำลายใส่คนหน้ามึน แต่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าให้เขาเจ็บแสบสะเทือนไปถึงตับไต เลยเปิดโอกาสให้เขาฉวยมือเธอไปที่รถ จัดการเปิดประตูยัดเธอเข้าไป ตัวเองก็อ้อมมานั่งประจำที่คนขับ
เห็นคนนั่งหลังตรงคอเชิดแล้วนึกหมั่นไส้ อยากจะแกล้งให้ตกใจเล่นสักหน่อย รดิศจึงโน้มตัวกล้ำกรายเข้าหา ดวงตาเรียวยาวหรี่แคบดูอันตราย สีหน้าหื่นหิว แม่คนหน้าเชิดเลยเปลี่ยนเป็นหน้าซีด ร่างกายที่สั่นสะท้านเอนหลังหนีจนสุดตัว เกือบจะสิงประตูข้างคนนั่งอยู่รอมร่อ รีบยกสองมือขึ้นยันอกกว้างของเขาเอาไว้สุดแรง พลางแหกปากลั่น
“อย่า…!”
คลิ๊ก!
ยิ่งมองหน้าเธอที่หลับตาปี๋ กัดริมฝีปากแน่น ทำหน้าเหมือนกำลังกลั้นใจตายเพราะถูกข่มเหง เขาต้องกลั้นหัวเราะเสียแทบแย่
“คิดว่าฉันจะจูบเธอ?”
โมฬีลืมตาค้อนเขาปะหลับปะเหลือก ก็เล่นโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบจะจูบปากกันอยู่แล้ว แถมยังทำหน้าหื่นใส่เธออีก
ใครมันจะไม่คิดบ้างล่ะ?
รดิศหันมองคนข้างกายที่นั่งหน้างอเป็นจวัก อดที่จะหัวเราะลึกในลำคอไม่ได้ เขาถอยกลับมานั่งหลังตรงดังเดิม เมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยให้หญิงสาวเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่วายแกล้งทิ้งปลายจมูกโด่งสันเคลื่อนเฉียดแก้มนวล สูดกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ จากเรือนร่างเพรียวบางอย่างติดใจ ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับเมื่อคืนตอนที่เขานอนกอดโมฬีหลับไป
เมื่อคืนมันผสมกับกลิ่นอ้วกเธอ เขาจึงได้กลิ่นแค่จางๆ แต่ตอนนี้มีแต่กลิ่นหอมรื่นรมย์และพวงแก้มนุ่มนิ่มที่ดึงดูดใจเขา จนอดที่จะถูไถปลายจมูกเฉียดไปเฉียดมาอีกหลายครั้งไม่ได้
“เธอใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร หอมจัง”
“ไม่ใช่น้ำหอม ก็แค่โคโลญจน์ยี่ห้อทั่วๆ ไปนี่แหละ หาซื้อได้ตามเซเว่น”
“ฉีดบ่อยๆ ฉันชอบ ตัวเธอหอมดี น่า...” คนพูดละไว้เท่านั้นพลางส่งสายตาวามวาวให้คนมองไปคิดต่อเอาเอง
‘จูบ’