หลายวันต่อมา
18.30 น.
ร่างบอบบางนั่งอยู่บนเตียงภายในห้องนอนกว้างของตัวเอง บนใบหน้าสวยหวานเต็มไปด้วยความกังวล ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนที่ถูกบิดาเรียกให้ไปคุยหลังจากตอนนั้น ฟางข้าวก็รู้หน้าที่ทุกอย่างที่หลังจากนี้เธอจะได้รับ นั่นก็คือการเข้าไปล้วงความลับของเหมันต์ เดชราชันย์ บุคคลที่ฟางข้าวเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามว่าเขานั้นโหดเหี้ยมและไม่เคยปราณีศัตรู
‘คุณพ่อจะให้ข้าวทำเหรอคะ แล้วข้าวจะทำยังไงคะ’
‘พ่อคิดแผนเอาไว้หมดแล้ว ลูกต้องใช้ความสวย ความไร้เดียงสาที่มีมัดใจมัน ไอ้เหมันต์ชอบเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยๆ ถ้าลูกเอาตัวเข้าแลก ไปวนเวียนกับมันเรื่อยๆ ยังไงก็คนแบบนั้นก็สนใจลูก’
เธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากบิดาตัวเอง
ฟางข้าวชินที่สถานะของเธอนั้นเป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรมที่พ่อกับแม่ไม่เคยรักเหมือนลูกแท้ๆ แต่เธอก็ไม่เคยเสียใจ ที่ผ่านมามีเพียงความน้อยใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เพราะยังไงเกริกไกรและชมนาดก็เป็นผู้มีพระคุณและให้ชีวิตใหม่ แม้ว่าชีวิตใหม่ที่ได้รับจะเป็นเพียงเงาของใครก็ตาม จากเด็กจนโต ความเปลี่ยนแปลงจากบิดามารดามีเรื่อยมา ทว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปมากซะจนฟางข้าวไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เมื่อได้ยินว่าบิดาพูดว่าให้เธอใช้ร่างกายของตัวเองแลกเปลี่ยนกับความลับที่ต้องเข้าไปล้วงจากผู้ชายคนนั้น
ไม่รัก เธอไม่ว่า
ให้เป็นเพียงเบ้รับใช้พะแพง เธอไม่เคยต่อต้าน
แต่เรื่องคอขาดบาดตายแต่ยังคิดที่จะส่งเธอไป ฟางข้าวไม่สามารถกักเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ได้จริงๆ
เธอนั่งห้อยขาและก้มหน้าบนเตียงนอนกว้างของตัวเอง ชีวิตที่เหมือนจะสวยหรู แต่ก็ไม่เคยมีความสุขเลย...ความสุขที่แท้จริง ฟางข้าวไม่เคยสัมผัสด้วยซ้ำ
ดวงตากลมที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำมองของบางอย่างในมือตัวเองบนตัก มันคือยาพ่นแก้โรคหอบหืด...ของประจำตัวที่ฟางข้าวต้องพกมันไว้ข้างกายตลอดเพราะเธอไม่แข็งแรง หญิงสาวตัวเล็กมีโรคประจำตัวคือโรคหอบมาตั้งแต่เกิด เป็นขั้นที่ต้องพกยาพ่นติดตัวเอาไว้เสมอ อาการของเธอมักจะกำเริบอยู่บ่อยๆ และมาจากหลายสาเหตุ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าฟางข้าวจะต้องใช้มัน มือบางยกยาพ่นขึ้นมา จ่อปลายปากหลอดยาที่ริมฝีปากของตัวเอง แหงนศีรษะขึ้น อ้าปากเล็กน้อยครอบยาพ่นและกดมันลงหนึ่งทีก่อนจะสูดหายใจทางปากเข้าลึกๆ ไม่นานก็รู้สึกดีขึ้นจากที่หายใจไม่เต็มอิ่มเพราะความเครียดสะสม อาการหอบจากอารมณ์ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนที่มีโรคประจำตัวนี้ต้องเผชิญเมื่อมีเรื่องวิตกกังวลขั้นหนักอยู่ในใจ
ทั้งที่เธอมีโรคประจำตัวและป่วยออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เล็ก ทว่าพ่อกับแม่ก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นและส่งเธอไปเจอกับภัยอันตรายที่ไม่รู้จะผ่านมันไปได้อย่างไร
ฟางข้าวรู้ว่าพวกเขาไม่รักเธอ แต่ก็ไม่คิดว่าจะไม่รักกันขนาดนี้
แกรก!
“พี่ข้าว จะนอนยัง?”
ทว่าประตูที่ห้องนอนถูกเปิดออกจากคนด้านนอก ปรากฎร่างของน้องสาวเธอ ฟางข้าวเงยหน้ามองคนที่เข้ามาใหม่และพยายามปรับสีหน้าเศร้าหมองของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด พะแพงมักจะเปิดประตูห้องเธอเข้ามาโดยไม่เคาะเสมอ ทว่าฟางข้าวก็ไม่ได้ถือสาหรือคิดจะล็อคประตูหากเธอไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่
“ยังเลย แพงมีอะไรเหรอ”
“นี่ๆ พี่ข้าวดูสิ แพงอยากได้อะ”
จู่ๆ ร่างของน้องสาวก็ปรี่เข้ามาและนั่งลงบนเตียงข้างฟางข้าวก่อนที่พะแพงจะเปิดบางอย่างในมือถือให้เธอดู
“กระเป๋าเหรอ”
“ใช่ แพงอยากได้”
“พรุ่งนี้พี่ไปซื้อให้ แพงอยากได้สีไหนล่ะ”
ฟางข้าวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงใจดี พลางมองบนหน้าจอมือถือของพะแพงอีกครั้ง กระเป๋าที่อีกฝ่ายอยากได้เป็นแบรนด์ขึ้นห้างดัง รุ่นนี้มีหลายสี ฟางข้าวถามขึ้น ดวงตากลมมองใบหน้าน้องสาวที่กลอกตาไปมา
“สีดำ และแพงก็อยากได้ตอนนี้”
“...”
“นะๆ พี่ข้าว ไปซื้อให้แพงหน่อย พรุ่งนี้แพงต้องออกไปเที่ยวกับไทม์ อยากใช้กระเป๋าใบใหม่”
“แต่นี่จะทุ่มนึงแล้วนะ พี่ไม่แน่ใจว่าจะไปทันห้างปิดไหม”
ฟางข้าวเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง และที่สำคัญป่านนี้รถติดมากด้วย
“พี่ข้าวก็ลองไปก่อนสิ ยังไม่ไปเลยจะบอกว่าไม่ทันได้ยังไง? ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ แต่มันอาจจะทันก็ได้หนิ”
“...”
“เร็วเถอะพี่ข้าว แพงไปรอที่ห้องนะ มาถึงก็เคาะเรียกแพงละกัน”
พะแพงพูดจบก็เดินออกจากห้องนี้ด้วยท่าทางอารมณ์ดี ทิ้งเพียงฟางข้าวที่พ่นลมหายใจออกมาพลางลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กก่อนจะรีบเดินออกจากห้องนอน
20.45 น.
และแล้วฟางข้าวก็สามารถมาทันช็อปแบรนด์เนมของกระเป๋าที่พะแพงอยากได้ ตอนนี้ถุงกระดาษใบใหญ่ที่ข้างในเป็นกระเป๋าราคาแพงอยู่ในมือของหญิงสาว ร่างบางเดินออกจากห้างชื่อดังยังชั้นของลานจอดรถ ขามาเธอขับด้วยความเร็วมากเพราะกลัวว่าห้างจะปิด เพราะถ้ากลับไปมือเปล่าไม่ได้สิ่งที่น้องสาวต้องการ เธอก็จะถูกบ่นและเรื่องนี้อาจจะไปถึงหูบิดามารดาในที่สุด
มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอถ้าหากฟางข้าวไม่สามารถทำในสิ่งที่พะแพงต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่เธอก็ถูกบิดามารดาต่อว่าเสมอ คำพูดที่บิดามารดามักจะพูดให้เธอได้ยินคือการทวงบุญคุณ...ฟางข้าวมักจะถูกทั้งคู่ตอกย้ำว่าที่เธอมีทุกวันนี้เพราะใคร การตอบแทนทั้งชีวิตที่เหลือของเธอคือรับใช้พะแพงและทำทุกอย่างที่น้องต้องการ เธอจะไม่มีวันได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ฟางข้าวจะถูกย้ำซ้ำๆ ว่าต่อให้แลกด้วยเลือดเนื้อหรือความตาย เธอก็ต้องให้พะแพงได้โดยไม่มีข้อแม้
ฟางข้าวรักน้อง รักบิดาและมารดา เธอรักทุกคนและยอมทำทุกอย่างตลอดมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่หากทำได้ ฟางข้าวก็จะทำสุดความสามารถ แต่บางครั้งความน้อยใจก็กัดกินเข้ามา เธอมักจะนึกอิจฉาชีวิตของคนอื่นในวัยเดียวกันที่ได้เลือกเส้นทางของตัวเอง ฟางข้าวไม่รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บิดาและมารดารักเธอบ้างหรือเปล่า หรือเพียงเลี้ยงดูเธออย่างดีเพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ฟางข้าวไม่สามารถปฏิเสธได้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะบุญคุณทั้งหมดที่คนในสิงหโภคินมีต่อเธอ ฟางข้าวต้องชดใช้ให้พวกเขาไปตลอดชีวิตนับตั้งแต่วันที่ย่างเท้าเข้ามา เธอถูกห้ามให้มีความรัก เพราะถ้าหากฟางข้าวมีความรัก วันนึงเธอจะต้องออกไปมีครอบครัว หญิงสาวต้องอยู่ครองตัวเป็นโสด ห้ามมีพันธะผูกพันกับใคร เพื่อจะได้อยู่รับใช้พะแพงแม้ว่าน้องสาวของเธอจะต้องออกไปมีครอบครัวของตัวเองฟางข้าวก็ต้องตามไปรับใช้ เธอรู้ชะตาชีวิตของตัวเองต่อจากนี้จนไปถึงวันตาย มันคือชีวิตที่ฟางข้าวไม่มีทางจะกำหนดเส้นทางด้วยตัวเองได้...มันจะเป็นแบบนี้ตลอดชีวิต
ร่างบางเดินถือถุงกระเป๋าแบรนด์เนมไปยังรถยนต์ของตัวเอง เมอร์เซเดส เบนซ์ คันสีขาวจอดอยู่ตรงหน้าไม่ไกล มือบางล้วงเข้าไปหยิบกุญแจรถในกระเป๋าสะพายทว่าจังหวะนั้นมีใครบางคนออกมาจากซอกช่องวางของรถยนต์ที่จอดเรียงกันและชนเธอเข้าอย่างจังจนฟางข้าวล้มลงกับพื้น
หญิงสาวเงยหน้ามองคนที่จงใจพุ่งเข้ามาชนเธอทันที ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อบุคคลนั้นตรงปรี่เข้ามาและกระชากกระเป๋าสะพายของเธอ ฟางข้าวตกใจอย่างหนัก เธอพยายามดึงกระเป๋าสะพายตัวเอง ยื้อฉุดกับผู้ชายสวมหมวกสีดำและสวมหน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้าพลางตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!!!!”
เธอยังนั่งอยู่บนพื้นและใช้แรงทั้งหมดของตัวเองยื้อกระเป๋าสะพายเพื่อไม่ให้โจรตรงหน้าเอาไป ดวงตากลมสั่นไหว ก่อนที่ฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายจะซัดเข้ามาที่ใบหน้าหวานจนฟางข้าวหันใบหน้าไปอีกทาง
เธอถูกอีกฝ่ายตบหน้าก่อนที่มันจะกระชากกระเป๋าของเธอไปได้ในที่สุด หญิงสาวนั่งหมดท่าอยู่กับพื้นมองแผ่นหลังของโจรที่วิ่งไปไม่กี่ก้าว ก่อนโจรคนนั้นจะถูกบุคคลปริศนาที่เดินออกมาจากซอกรถยนต์ที่จอดเรียงกัน ก่อนที่โจรร้ายจะถูกบุคคลมาใหม่กระชากหัวไหล่เอาไว้ได้ทันและเขาคนนั้นก็ซัดหมัดไปที่โจรจนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ฟางข้าวพยายามพยุงร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นยืน เธอมองไปยังภาพตรงหน้าตาไม่กระพริบเพราะผู้ชายสองคนกำลังต่อสู้ยื้อแย่งกระเป๋าสะพายของเธอ อีกฝ่ายนึงเป็นโจรที่ตบหน้าเธอ ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายร่างกายสูงใหญ่แต่งตัวภูมิฐาน ดวงตากลมที่สั่นระริกจ้องมองผู้ชายคนนั้นอยู่นานก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ
ผลัวะ!! ตุบ!!
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!!”
และในที่สุดโจรร้ายก็พ่ายแพ้ให้กับผู้ชายคนที่มาช่วยเธอ ร่างกายของฟางข้าวแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้ สายตาวูบไหวมองร่างสูงกำยำที่ก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายของเธอบนพื้นขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนที่เขาคนนั้นจะหันมามองเธอ...สองเท้าย่างกรายเข้ามาหาฟางข้าวเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ตรงหน้า
“ของคุณ”
“...”
“คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า?”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
มือเล็กเอื้อมไปรับกระเป๋าสะพายของตัวเองมาก่อนฟางข้าวจะก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย เธอผงกศีรษะให้เขา
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเหมันต์ แล้วคุณ?”
ฟางข้าวก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองพลางกำสายกระเป๋าสะพายแน่น
ใช่แล้ว...
ผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอจากโจรร้ายคือเหมันต์ เดชราชันย์ บุคคลที่เธอได้รับหน้าที่เข้าไปล้วงความลับเรื่องธุรกิจของเขาตามคำสั่งบิดา ร่างกายของหญิงสาวสั่นระริก เธอจำใบหน้าของเขาได้แม่นจากรูปถ่ายที่บิดาให้ดูในห้องทำงานเมื่อหลายวันก่อน ทว่าฟางข้าวไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้
กลมถึงขั้นที่ว่าโชคชะตาบางอย่างกำหนดให้เราสองคนมาเจอกันในฐานะคนแปลกหน้า
“ฉัน...ฟางข้าวค่ะ”
เธอตัดสินใจเงยหน้าสบตากับเขาในที่สุด ผู้ชายตรงหน้าของเธอกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้ หญิงสาวจ้องมองรูปหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ คิ้วของเขาคมเข้ม นัยน์ตาสีรัตติกาลเรียวรีทว่าเรียบนิ่งไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความคิดได้ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักและตรงมุมปากทั้งสองข้างที่ยกยิ้มเบาๆ ราวกับอยากจะพูดอะไรต่อ ฟางข้าวเงยหน้ามองชายร่างหนาที่ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามและสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร
“ฉันขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“ครับ คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“ค่ะ”
“แล้วรถคุณจอดอยู่ตรงไหนครับ ให้ผมเดินไปส่งไหม”
ใบหน้าหวานกระพริบตาถี่ๆ เธอครุ่นคิดในใจว่าจะเอาอย่างไรต่อจากนี้ดี เพราะดูท่าว่าเหมันต์จะไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขา และแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเธอ เพราะฉะนั้นการทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดคือสิ่งที่ควรทำในตอนนี้
“ตรงนั้นเองค่ะ”
เธอชี้ไปยังเมอร์เซเดส เบนซ์ คันสีขาวที่จอดเยื้องอยู่ตรงหน้า เหมันต์หันไปมองครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาจ้องใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวต่อ
“ฉันขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณเหมันต์”
“ไม่ต้องขอบคุณแล้วล่ะครับ ผมจะปล่อยให้ใครถูกทำร้ายต่อหน้าโดยที่ไม่ช่วยได้ยังไง”
“...”
ฟางข้าวสบตากับเขา นัยน์ตาสีรัตติกาลลุ่มลึกและไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่มีเค้าโครงของความโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่ใครต่อใครลือกัน เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าหวานผ่อนคลายมากขึ้นจากที่อึดอัดมากๆ เธอส่งยิ้มให้กับเขา
จู่ๆ แผนการบางอย่างก็ผุดเข้ามาในหัวของหญิงสาว แม้ว่าจะรู้แก่ใจว่าเธอกำลังจะหักหลังเขา คนที่มาช่วยเธอ ทว่าฟางข้าวไม่สามารถเลือกอะไรได้ในตอนนี้
เธอเลือกอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแผนการเข้าหาเหมันต์เผื่อล้วงความลับจึงได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาที่แสนจะบังเอิญ
“ฉันอยากจะตอบแทนคุณค่ะ”
“ตอบแทนยังไงครับ”
“ฉันอยากเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อค่ะ”
“...”
“ค...คือว่า ฉันรู้จักร้านอาหารอร่อยอยู่ร้านนึง ถ้าคุณเหมันต์ไม่รังเกียจ—”
“ผมจะรังเกียจคุณได้ยังไงครับ”
“...”
“แต่วันนี้คงไม่ได้ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ เป็นวันหลังได้ไหมครับ”
นัยน์ตาสีเข้มจ้องไปที่ดวงตากลม ฟางข้าวกลอกตาต่ำครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับเขาอีกครั้ง
“ได้ค่ะ วันหลังก็ได้”
“งั้นผม...ขอเบอร์ของคุณฟางข้าวนะครับ”
หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อย เธอร้องอ๋อเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า
ทำทุกอย่างไม่ให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังมีบางอย่างอยู่ในใจ
“ได้สิคะ”
เหมันต์ยื่นมือถือของเขามาให้ มือบางรับไว้ก่อนจะกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปและส่งคืนเจ้าของ เหมันต์กดบางอย่างครู่หนึ่งและเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง
“ผมจะโทรหาคุณแน่นอน”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะคะ”
“ขับรถดีๆ นะครับ”
ฟางข้าวพยักหน้าเบาๆ และส่งยิ้มให้เขา เธอหลุบสายตาลงมองพื้นและเดินสวนไหล่กว้างไปยังรถของตัวเอง หญิงสาวขึ้นรถและขับออกไปโดยที่ยังมีชายหนุ่มร่างกำยำยืนมองอยู่จนกระทั่งเธอขับไปจนลับสายตา
ท่วงท่าและสีหน้าที่ดูปกติ ออกไปในทางผู้ชายที่แสนดีที่เข้ามาช่วยเหลือหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในอันตราย เหมันต์มองรถคันนั้นขับหายไปก่อนที่นัยน์ตาเรียบนิ่งจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว สีหน้าของ เหมันต์ เดชราชันย์ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาเรียวรีคุกรุ่นเป็นเปลวไฟยามที่นึกถึงใบหน้าของผู้หญิงเมื่อครู่
ฟางข้าว สิงหโภคิน
ลูกสาวบุญธรรมของ เกริกไกร สิงหโภคิน เจ้าของบริษัทค้าน้ำมันที่ธุรกิจกำลังจะล้มละลาย เหมันต์รู้จักตระกูลนั้นผ่านๆ เพราะพวกมันทำธุรกิจประเภทเดียวกับเขาที่ทำบังหน้าพวกตำรวจ ทว่าคนพวกนั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเพราะเรามันคนละชั้นกัน ตระกูลแถวล่างนั่นไม่อาจขึ้นมาเทียบกับเดชราชันย์ได้ และยิ่งสถานะที่กำลังจะพังแหล่ไม่พังแหล่ เหมันต์ไม่คิดจะใส่ใจเพราะเขาไม่เคยเห็นชนชั้นล่างแบบนั้นเป็นคู่แข่งด้วยซ้ำ ก็แค่เหลือบไรไร้ค่า
ทว่าเมื่อหลายวันก่อน เหมันต์ได้รับสายจากใครบางคนที่โทรเข้ามาผ่านลูกน้องเขา และฝ่ายนั้นก็แนะนำตัวเองว่าเป็นหนึ่งในคนสนิทของเกริกไกร ทีแรกเขาไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าตระกูลนั้นจะส่งคนมาเจรจาเรื่องร่วมลงทุนผูกสัมพันธ์เพื่อธุรกิจให้ตัวเองอยู่รอด ทว่าไม่ใช่แบบนั้น เพราะคนที่อ้างว่าเป็นคนสนิทของเกริกไกรบอกว่ามีความลับบางอย่างมาขายให้กับเขา เหมันต์ไม่เข้าใจว่าความลับนั้นเกี่ยวกับเขายังไง สุดท้ายทุกอย่างก็เฉลยออกมาว่าสิงหโภคินกำลังจะมีผู้หนุนหลังเป็นตระกูลมาเฟียใหญ่และข้อแลกเปลี่ยนนั่นก็คือให้เกริกไกรล้วงความลับล่ารายชื่อคู่ค้าของเดชราชันย์ในโปรเจคสำคัญที่เขามีแพลนจะลงมืออีกไม่นานนี้ งานที่ว่าก็คือส่งออกอาวุธเถื่อนให้กับลูกค้าต่างชาติมากกว่าสิบประเทศ รายชื่อลูกค้าที่เหมันต์มีในมือล้วนแต่เป็นตัวพ่อในวงการมาเฟียระดับโลก ใครต่อใครจึงอยากได้รายชื่อพวกนั้นจากเขา รวมถึงอยากรู้ว่าค่าตอบแทนคือเป็นยังไง หากใครได้ข้อมูลพวกนั้นไปก็จะดักหน้าเข้าไปยื่นข้อเสนอและให้ราคาที่ดีกว่าเดชราชันย์ให้ กลายเป็นเหมันต์จะชวดลูกค้ารายใหญ่เหล่านั้นถ้าหากมีใครให้ราคาดีตัดหน้า
เพราะเหตุนั้นรายชื่อลูกค้า และราคาเสนอขายอาวุธแต่ละครั้งล้วนเป็นความลับขั้นสุดยอด มีแต่เขาและลูกน้องที่ไว้ใจได้ไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ เหมันต์จัดการโอนเงินให้บุคคลที่ติดต่อเข้ามาขายความลับด้วยเงินจำนวนมาก และใช้โอกาสนี้สั่งการให้อีกฝ่ายสร้างตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ให้เขาอย่างเต็มตัว คอยส่งข่าวความคืบหน้าของเกริกไกรว่ามันมีแผนจะทำอะไรต่อจากนี้ เหมันต์จะได้รับมือทุกอย่างได้ทัน ทว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเกริกไกรคือใคร แม้แต่คนที่เอาความลับมาขายก็ไม่รู้ว่า ‘คุณคนนั้น’ ที่พวกมันเรียก เป็นมาเฟียตระกูลไหนกันแน่ จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เหมันต์ต้องสืบรู้ให้ได้
และเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เหมันต์ได้รับสายจากหนอนคนเดิมว่าเกริกไกรมีแผนการต่อไปคือให้ลูกสาวบุญธรรมของมันทำหน้าที่นี้ หน้าที่คือล้วงความลับแสนยิ่งใหญ่ทว่าให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อฟางข้าวจัดการ มาเฟียหนุ่มค่อนข้างที่จะประหลาดใจไม่น้อย เพราะเขาคิดแผนการเอาไว้มากมายเพื่อตั้งรับ นึกว่าพวกมันจะมีอะไรที่น่าสนุกมากกว่านี้ซะอีก...แต่ก็อย่างว่า ถ้าพวกมันฉลาด ชีวิตก็คงไม่ตกต่ำและล่มจมเหมือนอย่างทุกวันนี้หรอก
การเจอกันครั้งนี้ระหว่างเหมันต์และฟางข้าวจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รวมถึงโจรฉกกระเป๋านั่นด้วย ทุกอย่างคือแผนตลบหลังของเหมันต์ทั้งสิ้น
ร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินไปยังเฟอร์รารี่คันสีแดงเด่นตระหง่านที่จอดอยู่ไม่ไกล เขาแทรกตัวเข้าไปนั่งก่อนจะกดต่อสายหาลูกน้องของตัวเอง
“สืบประวัติผู้หญิงคนนั้นมาให้ละเอียด เพราะต่อไปนี้กูจะเล่นบทพระเอกขี่ม้าขาว หลอกให้มันตายใจและทำให้ตระกูลของพวกมันตายทั้งเป็น”
สุ้มเสียงกดต่ำเอ่ยกับปลายสาย นัยน์ตาสีรัตติกาลเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทว่าปะปนไปด้วยความสนุกยามนึกถึงเรื่องราวต่อจากนี้ คนอย่างเหมันต์ไม่เคยทำใครก่อน หากมันคนนั้นไม่เข้ามาในชีวิตของเขาและรนหาที่เอง ริอาจจะมาล้วงความลับสำคัญของเดชราชันย์ด้วยความคิดตื้นๆ เขาก็จะสอนให้ตระกูลปลายแถวอย่างพวกมันได้รับรู้ว่าการจะยืนหยัดอยู่ในวงการป่าเถื่อนนี้ได้
มันต้องเลือดเย็นแค่ไหนถึงจะอยู่รอด