“พวกท่านคงมีเรื่องให้คิดเยอะน่ะ”
(จะยังไงก็ปล่อยให้เธอทำคนเดียวไม่ได้ นั่นเหมันต์ เดชราชันย์เลยนะ)
“ฉันอยากทำให้มันเสร็จๆ และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติของตัวเอง”
(อืม ฉันอยู่ข้างเธอเสมอนะข้าว)
“...”
(และตอนนี้เธอกับเหมันต์ก็รู้จักกันแล้ว ถึงขั้นที่เขาขอเธอคบ แม้ว่าจะไวไปหน่อยก็เถอะ)
“...”
ไม่ใช่ว่าฟางข้าวไม่สงสัยในเรื่องนี้ เธอสงสัยทุกอย่าง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกับเขา แต่ฟางข้าวก็ไม่อยากคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะถ้าเหมันต์รู้จุดประสงค์ของเธอจริงๆ เขาจะเอาตัวเองเข้ามาทำอะไรแบบนี้ให้เสียเวลาทำไม สู้ไม่ยิงเธอทิ้ง และฆ่าให้ตายไปตั้งแต่วันแรกที่รู้ไม่ดีกว่าเหรอ
ทุกอย่างมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงๆ และโชคชะตาก็เข้าข้างเธอจนได้ใกล้ชิดกับเขา การสืบความลับนั่นจะได้จบลงไวๆ
“ฉันก็คิดนะว่าทำไมเหมันต์ถึงเข้ามาในชีวิตของฉันในเวลานี้ มันประจวบเหมาะมาก แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะยอมเล่นตามเกมหากรู้ตั้งแต่แรกว่าฉันมีจุดประสงค์ร้าย”
(นั่นสิ ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างหมอนั่นจะเก็บเธอเอาไว้ทั้งที่รู้...นอกจากจะไม่รู้จริงๆ)
“อืม ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างหลัง”
หญิงสาวถอนหายใจ เธอนึกถึงวันข้างหน้าที่ไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง ความรู้สึกหัวเดียวกระเทียมลีบมันเป็นแบบนี้นี่เอง
(หลังจากนี้เธอต้องระวังตัวให้มากๆ นะ มีอะไรให้รีบบอกฉัน)
“อืม ขอบใจนะติณ มีแต่นายนั่นแหละที่เป็นห่วงฉันจริงๆ”
หัวใจดวงน้อยที่บอบบางทั้งภายนอกและภายในซึมซับไปด้วยความอบอุ่นจากความห่วงใยของเพื่อนสนิท เธอกับติณคุยกันไม่กี่คำก็วางสาย ร่างระหงทำท่าจะเดินกลับเข้าไปข้างในห้องแต่เสียงแจ้งเตือนของมือถือก็ดังขึ้น
ดวงตาหม่นหมองก้มลงมองดูหน้าจอ ก็พบว่าเป็นแชทจากเขาคนนั้น...คนที่อยู่ในหัวสมองของฟางข้าวแทบจะตลอดเวลา
เหมันต์ : พรุ่งนี้ไปดินเนอร์กันนะครับ ผมมีของจะให้คุณด้วย
เธอกดเปิดอ่านทันที ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่นิ้วเรียวจะจรดแป้นพิมพ์บนหน้าจอ
ฟางข้าว : ได้ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ
.
.
.
.
ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนที่ฟางข้าวตอบตกลงคบกับเหมันต์
ความสัมพันธ์ของเราสองคนดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหมันต์ขอเจอเธอทุกวัน และฟางข้าวก็ไม่ปฏิเสธ เพราะจุดประสงค์ตอนนี้ของเธอคือเข้าใกล้อีกฝ่ายให้มากที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้เขาไว้ใจ จากนั้นสืบหาความลับที่บิดาต้องการและเรื่องทุกอย่างมันจะได้จบลงสักที
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เหมันต์ดีกับเธอทุกอย่าง เขาตามใจเธอ และเราสองคนก็ออกเดทกันอย่างเรียบง่าย เมื่อไรที่เขาว่างจากการทำงาน เราทั้งคู่ก็จะนัดเจอกัน กลายเป็นว่าตอนนี้ในชีวิตของฟางข้าวมีแต่ผู้ชายที่ชื่อเหมันต์เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวสมองและก็ในหัวใจ...หญิงสาวยอมรับเลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่เพรียบพร้อมและเพอร์เฟ็คทั้งนิสัยและรูปลักษณ์ เขาเทคแคร์เธอดีมาก ตลอดเวลาที่คุยกันเหมันต์ไม่เคยทำอะไรให้ฟางข้าวรู้สึกอึดอัดหรือหนักใจเลย จนบางครั้งเธอก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงตอนนี้คืออะไร ถ้าให้เลือกได้ หญิงสาวก็อยากจะเลือกให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนเป็นเรื่องจริง...ไม่ใช่สถานะที่เธอกำลังหลอกลวงเขา และถ้าหากเหมันต์รู้ความจริงทุกอย่างก่อนแผนการสำเร็จ เธอก็แทบไม่อยากคิดเลยว่าจุดจบของเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ตอนนี้ฟางข้าวเลือกไม่ได้ เธอทำได้ก็เพียงแค่เดินตามเกมที่มันกำลังเป็นไป และทุกอย่างในตอนนี้ก็เหมือนว่าจะไปในทิศทางที่ดี
เหมันต์มีท่าทีว่าชอบเธอ ฟางข้าวไม่ได้คิดไปเอง และเธอก็กำลังพยายามอย่างหนักที่จะไม่หลงใหลไปกับการกระทำและคำพูดอ่อนหวานนั่น เพราะเธอรู้ตัวดีว่าเรื่องของเราสองคนมันเป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าเขาจะจับได้ก่อนหรือเธอทำสำเร็จก่อน เราทั้งคู่ก็ไม่สามารถจะลงเอยกันได้...มันไม่มีวันเป็นแบบนั้นได้ในชาตินี้
“คิดอะไรอยู่ครับ”
เพราะจมไปกับเสียงไวโอลินในภัตตาคารหรูเวลากลางคืน เราสองคนมักจะดินเนอร์กันแบบนี้เกือบทุกวัน วันนี้ฟางข้าวแต่งตัวสวยมาก และใบหน้าหวานที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางไม่หนานัก ทว่าเผยให้เห็นใบหน้าสวยประจักษ์ออกมาจนใครเห็นต่างก็มองเธอจนต้องเหลียวหลัง
“เปล่าค่ะ”
“...”
“วันนี้งานของคุณเป็นยังไงบ้างคะ”
เธอเอ่ยถามคนตรงข้ามเพื่อชวนเปลี่ยนเรื่อง และฟางข้าวมักจะถามเขาในเรื่องนี้ทุกๆ วัน พยายามทำทีเป็นถามสารทุกข์สุขดิบเรื่องการงาน แต่แท้จริงฟางข้าวกำลังคาดหวังว่าเขาจะหลุดเรื่องที่เธอต้องการจะรู้ออกมา
แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่เหมันต์จะหลุด
“ก็เรื่อยๆ ครับ แต่ช่วงนี้ผมยุ่ง กลางวันเลยไม่ค่อยได้ตอบข้อความคุณ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ข้าวเข้าใจ”
เพราะเธอค่อนข้างที่จะสนิทกับเหมันต์ในระดับหนึ่งแล้ว เธอจึงแทนตัวเองด้วยชื่อเล่น และแบบนี้เหมันต์ก็บอกว่าชอบกว่าการที่ฟางข้าวแทนตัวเองด้วย ‘ฉัน’ ซะอีก มันจึงทำให้เธอเรียกตัวเองด้วยชื่อตั้งแต่นั้นมา
“คุณน่ารักกับผมตลอด จะไม่ให้ผมหลงได้ยังไง”
นัยน์ตาลุ่มลึกส่งมาให้ ส่งผลให้แก้มใสขึ้นเลือดฝาดเล็กน้อยยามที่อีกฝ่ายหยอดคำหวานกลับมา ฟางข้าวอมยิ้มอยู่แบบนั้น พยายามดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับสิ่งตรงหน้า สิ่งสำคัญที่เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้
“หยุดหยอดได้แล้วค่ะ คุณยังไม่เล่าเลยนะคะว่าวันนี้คุณทำงานเป็นยังไง ที่บอกว่ามีโปรเจ็คใหญ่ ได้เริ่มรึยังคะ”
เหมันต์ค่อยๆ หุบยิ้มก่อนจะยกเอาแก้วไวน์ตรงหน้าขึ้นมาจิบ นัยน์ตาเยือกเย็นจดจ้องผู้หญิงตรงข้ามก่อนจะรีบเปลี่ยนสายตาให้เป็นพ่อหนุ่มคลั่งรักอีกรอบ
“กำลังจะเริ่มครับ แต่ก็ต้องรอคู่ค้าอีกทีว่าคอนเฟิร์มกี่ราย”
คู่ค้างั้นเหรอ
มือเล็กของฟางข้าวที่วางอยู่บนตักค่อยๆ กำแน่น ไม่เคยมีสักครั้งที่เหมันต์จะพูดถึงคู่ค้าในโปรเจ็คใหญ่ที่เขากำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทว่าวันนี้เขากลับพูดออกมา เธอพยายามปรับสีหน้าตัวเองไม่ให้อยากรู้อยากเห็นทั้งที่ข้างในมันแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ
เพราะรายชื่อคู่ค้านั่นแหละ คือสิ่งที่เธอต้องการ
“งั้นเหรอคะ ข้าวก็คิดว่าคู่ค้าของคุณเหมันต์ตอบตกลงหมดแล้วซะอีก”
“ยังหรอกครับ”
“...”
“มีบางคนที่ตอบมาแล้ว ส่วนบางคนลีลาอยู่ ยังไม่พอใจเรื่องค่าตอบแทน ผมยังต้องง้อพวกเขา”
“อ๋อค่ะ...”
“...”
“แล้วมีใครบ้างเหรอคะ ที่ตอบตกลงคุณ”
ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบจากเหมันต์ บริกรก็ยกอาหารมื้อค่ำมาเสริฟซะก่อน บทสนทนาเลยหยุดชะงัก ฟางข้าวเบือนสายตาที่สั่นไหวไปทางอื่นด้วยความเสียดาย อีกนิดเดียวก็เข้าเรื่องนั้นแล้วแท้ๆ
ส่วนคนตรงข้ามกลับยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง ในจังหวะที่แก้วจรดปากหยัก มุมปากก็ยกยิ้มร้ายกาจออกมา เพราะว่าเขารู้สึกสนุกกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่น้อย
ไอ้ท่าทางกับสีหน้าที่อยากรู้จนออกนอกหน้านอกตา เหมันต์คิดว่าคนตรงข้ามคงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีอาการที่ชัดเจนมากแค่ไหน
“ทานกันเถอะครับ”
เขาเอ่ยออกมา ฟางข้าวยิ้มตอบ เธอหยิบส้อมขึ้นมาเขี่ยเส้นสปาเก็ตตี้ในจานพลางคิดในใจว่าจะเข้าเรื่องเมื่อครู่ยังไงให้แนบเนียน ทว่าไม่มีจังหวะให้เธอได้วกกลับเข้าเรื่องเก่าเลย ใจนึงก็กลัวว่าเหมันต์จะสงสัยจึงเลือกที่จะเงียบ
แต่หารู้ไม่ ความหวาดกลัวทุกอย่างที่ฟางข้าวกำลังคิดอยู่ตอนนี้ คนตรงข้ามของเธอได้ดูออกหมดแล้ว
ทั้งคู่ทานมื้อค่ำกันเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน รสชาติอร่อยของอาหารในภัตตาคารหรูไม่ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และมันยิ่งทำให้กดดันในตัวเองไปอีกหนึ่งวัน...เพราะที่ระยะเวลาที่ผ่านมา งานของเธอไม่คืบหน้าเลย กลับถึงบ้านหลังโตก็มักจะเจอกับบิดาและมารดาที่ดักรอเพื่อยิงคำถามว่าเรื่องที่มอบหมายให้ไปทำนั้นคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ฟางข้าวไม่สามารถตอบในสิ่งที่ทั้งสองอยากรู้ได้ มันทำให้เธออึดอัด เพราะเธอมักจะได้รับสีหน้าที่โกรธเคืองและคำพูดที่กดดันส่งกลับมาเสมอ
และล่าสุดคือเมื่อคืน...ประโยคนั้นของบิดาทำให้เธอจำฝังใจจนมาถึงตอนนี้
‘ฉันให้เวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ถ้าเอาความลับของเหมันต์ไปให้คุณคนนั้นไม่ได้ ครอบครัวและธุรกิจของเราจะต้องล้มละลาย และก็รู้เอาไว้ว่าสาเหตุมันเกิดจากแกคนเดียว’
ครอบครัว ธุรกิจ และพนักงานอีกหลายร้อยชีวิต ขึ้นอยู่กับเธอ
ดวงตาคู่สวยมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงข้าม และมีอีกหนึ่งสิ่งในใจคือเธอรู้สึกผิดต่อเขา หากทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้กำลังกระทำต่อเธอคือความรู้สึกดีที่เขามีมาให้จริงๆ ฟางข้าวคงรู้สึกผิดมาก
หญิงสาวทานอาหารในจานของตัวเองไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้น เธอก็วางช้อนส้อมและยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม เหมันต์ที่ทานของตัวเองจนหมดก็เงยหน้ามองคนตรงข้าม
“ทำไมทานนิดเดียวล่ะครับ หรือว่าไม่อร่อย?”
“อร่อยค่ะ แต่วันนี้ข้าวไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ”
มาเฟียหนุ่มพยักหน้า นัยน์ตาสีรัตติกาลวาวโรจน์ออกมาครู่หนึ่ง เขาวางช้อนส้อมและยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มตาม ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยขึ้น
และประโยคของเหมันต์ ทำให้ฟางข้าวชะงักร่างกายนิ่งค้าง สองมือของเธอที่วางอยู่บนตักเย็บวาบ
“คุณฟางข้าว...เราแต่งงานกันไหมครับ?”
แววตาของเหมันต์ฉายแววจริงจัง ทว่าต่างกับดวงตาของเธอที่เบิกกว้างไม่กักเก็บอาการใดๆ เธอมองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อสายตา และไม่คิดว่าอะไรแบบนั้นจะออกมาจากปากของคนที่พึ่งจะรู้จักกันเพียงเดือนเดียว
“ค...คุณเหมันต์ ล้อข้าวเล่นใช่ไหมคะ”
“ผมจริงจังครับ”
“...”
“คุณจำได้หรือเปล่าที่ผมเคยบอกว่าอยากดูแลคุณ อยากเจอคุณทุกวัน”
“...”
“และตอนนี้ผมก็ยังคิดแบบนั้น”
ฟางข้าวหายใจไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกภายในใจของหญิงสาวมีมากกว่าหมื่นแสนความรู้สึก และที่มันเด่นชัดเลยคือทุกอย่างล้วนน่าสงสัย
เธอเริ่มเกิดความสงสัยในใจว่าเหมันต์ปิดบังบางอย่างเอาไว้ เพราะเขาไม่ได้มีสายตาหรือทีท่าว่ารักเธอ ถึงขั้นอยากแต่งงานด้วยขนาดนั้น
“ข้าว...ข้าวคิดว่าเราสองคน—”
“คุณลองไปปรึกษาคุณพ่อดูก่อนไหมครับ”