“ต่อไปก็จดทะเบียนสมรสกันเลยนะ จะได้ไม่เสียฤกษ์เสียยาม”
เป็นเกริกไกรที่เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาหลังบ่าวสาวสวมแหวนให้กันเสร็จสรรพ เกริกไกรหันไปส่งสัญญาณให้นายทะเบียนก่อนที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะเอาเอกสารมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของทั้งคู่ มันคือเอกสารยินยอมการจดทะเบียนสมรส เหมันต์ไม่คิดอะไรมาก เขาไม่รอช้าจับปากกาและเซ็นชื่อของตัวเองลงไป เหลือเพียงฟางข้าวที่นั่งกำมือตัวเองแน่น
ดวงตาของเธอสั่นระริกมองลายเซ็นของเขาบนแผ่นกระดาษ ต่อไปเป็นตาของเธอที่จะต้องจรดปลายปากกาลงบนนั้น ฟางข้าวยังคงนิ่งงัน เธอเงยหน้าสบตากับบิดาของตนเองที่มองมา
เกริกไกรบอกทางสายตาว่าให้เธอรีบเซ็นลงไป ทุกอย่างจะได้จบลงสักที
ฟางข้าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอยกมือขึ้นมาหยิบปากกาและเซ็นชื่อของตัวเองลงไปในช่องว่าง ก่อนที่ใบสำคัญสมรสจำนวนสองใบจะวางลงตรงหน้าของทั้งคู่ เป็นการย้ำเตือนว่าเหมันต์และฟางข้าว เป็นสามีภรรยากันแล้ว
ทุกอย่างดูเหมือนจะจบลงง่ายๆ แต่ไม่...
เธอคิดว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นต่างหาก
“คุณเอาสินสอดทั้งหมดไปเก็บไว้ให้ดีนะ และพรุ่งนี้ผมจะเอาเช็คไปขึ้นเงิน”
หลังจากพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ทางฝั่งของเจ้าบ่าวก็อยู่รับประทานอาหารมื้อเย็นกันต่อที่นี่ ในระหว่างที่ทุกคนกำลังย้ายกันเข้าไปในห้องอาหาร เกริกไกรกับชมนาดก็ยืนคุยกันอยู่ด้านนอกเพียงสองคน เป็นชมนาดที่พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ค่ะ ฉันจะจัดการเองคุณไม่ต้องห่วง”
เกริกไกรยิ้มร้ายกาจ ดวงตาเป็นประกายยามนึกถึงสินสอดของมีค่าทั้งหมดที่เขาได้รับจากลูกเขยคนนี้
“เราจะมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ และถ้าฟางข้าวล้วงความลับของเหมันต์มาให้คุณคนนั้นได้เมื่อไร ผมไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าความรวยนั้นจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน”
เกริกไกรเอ่ยกับภรรยาของตน ชมนาดก็ไม่สามารถกักเก็บสีหน้ากระหายในทรัพย์สินเหล่านั้นได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ของตัวเองสักบาท แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่สามีของเธอขึ้นรับตำแหน่งผู้นำตระกูล ธุรกิจทุกอย่างก็ค่อยๆ ถดถอยลง เป็นเพราะฝีมือและการบริหารของเกริกไกรไม่เก่งกาจมากพอ จุดจบทุกอย่างที่บรรพบุรุษสร้างมาก็เกือบต้องมาล่มสลายลง แต่ยังโชคดีที่ยังมีคนยื่นข้อเสนอเข้ามา และโชคดีซ้ำสองเพราะฟางข้าวดันได้แต่งงานกับเหมันต์ เดชราชันย์ ผู้นำตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาลและอยู่แถวหน้าในวงการมาเฟียที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
หลังจากนี้ตระกูลปลายแถวของพวกเขาก็จะได้เจิดจรัสขึ้นมาเพราะได้เป็นดองกับเดชราชันย์ และถ้ายิ่งฟางข้าวท้องกับเหมันต์ หลานของพวกเขาก็จะได้มรดกทุกอย่างและอนาคตต้องได้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไป...
ยังไงสิงหโภคินจะไม่มีวันเหลือแต่ชื่อแน่นอน
20.00 น.
หลังจากที่ทานมื้อค่ำกันเสร็จ ตอนนี้ทุกคนก็พากันออกมายังหน้าคฤหาสน์ รถตู้คันหรูจอดรถอยู่ก่อนแล้ว เกริกไกร ชมนาด และพะแพง ออกมาส่งทุกคน คุณลุงกับคุณป้าของเหมันต์พากันขึ้นรถตู้และรถก็เคลื่อนตัวออกไป เหลือเหมันต์และฟางข้าวที่ยืนข้างกัน ฟางข้าวถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่ในนั้นมีเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบางส่วนที่เธอจะเอาไปในวันนี้ เพราะฟางข้าวกำลังจะเดินทางไปอยู่ที่คฤหาสน์เดชราชันย์
หลังจากนี้เธอต้องไปอยู่ที่บ้านของสามี ในตอนนี้ใบหน้าของหญิงสาวค่อนข้างซีดเซียวเพราะรู้สึกเหนื่อยมาทั้งวัน ฟางข้าวสบตากับบิดามารดาของตัวเอง ทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้เธอก่อนจะส่งยิ้มและชมนาดก็ยกมือขึ้นลูบไหล่เล็ก
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้านะลูก พ่อกับแม่จะไปหาบ่อยๆ และพรุ่งนี้แม่จะให้คนที่บ้านเอาเสื้อผ้าและของใช้ที่เหลือตามไปให้จ้ะ”
ชมนาดเอ่ยขึ้นและลูบไหล่ของฟางข้าวแสร้งทำเป็นรักลูกสาวบุญธรรมต่อหน้าเหมันต์ เธอพยักหน้า ก่อนมือเล็กจะถูกคว้าด้วยฝ่ามือใหญ่ไปกุมเอาไว้ เธอหันไปมองหน้าคนตัวสูงข้างกายที่จับมือของเธอแน่น
“ผมจะดูแลข้าวอย่างดี ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“จ้ะ เหมันต์พูดแบบนี้แม่ก็หายห่วง”
“เอาล่ะๆ ไปกันได้แล้ว และก็อย่าลืมล่ะ มีหลานให้พ่อไวๆ ฮ่าๆๆๆ”
เกริกไกรหัวเราะร่า พะแพงที่ยืนข้างบิดาตนเองก็เอาแต่หลุบสายตามองมือของพี่สาวที่ถูกมือใหญ่ของเหมันต์กุมเอาไว้ ก่อนพะแพงจะช้อนสายตาเป็นประกายจ้องมองใบหน้าของพี่เขยตัวเอง
“ไว้แพงจะไปเที่ยวคฤหาสน์ของพี่เหมันต์นะคะ”
“ได้สิ พี่ต้อนรับเสมอ”
พะแพงส่งยิ้มหวานให้เขา ในขณะที่เขาก็ยกยิ้มตอบ ฟางข้าวเบือนสายตาไปทางอื่นด้วยความอึดอัด
“ไปกันเถอะครับ”
เขาเอ่ยขึ้น ฟางข้าวพยักหน้าให้สามีเบาๆ ก่อนทั้งคู่จะยกมือไหว้เกริกไกรและชมนาดพลางพากันขึ้นเฟอร์รารี่คันหรู เหมันต์ขับกลับเอง โดยลูกน้องมือขวาของเขาได้แยกกลับไปก่อนพร้อมกับคุณลุงคุณป้าเมื่อครู่นี้แล้ว ล้อทั้งสี่เคลื่อนไปข้างหน้า
มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เดชราชันย์
“เรากลับกันดึกผมเลยไม่ได้ให้คนใช้มารอต้อนรับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะแนะนำทุกคนให้คุณรู้จักนะครับ”
หลังจากรถยนต์เคลื่อนมาถึงตัวคฤหาสน์เดชราชันย์และเหมันต์ก็ดับเครื่องลงยังโถงหน้าบ้าน ฟางข้าวพยักหน้าให้กับสามีของเธอพลางปลดเข็มขัดนิรภัย
ทั้งคู่ลงจากรถ เธอมองไปรอบๆ ก็พบกับความกว้างขวางของอาณาเขตบริเวณคฤหาสน์ และตรงหน้าของเธอเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดีไซต์บอกชัดว่าถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นย่า ทว่าทุกอย่างก็ไม่ได้ดูเก่าลงแม้แต่นิด เพราะผู้สืบทอดทุกรุ่นได้ดูแลเป็นอย่างดี
“เข้าบ้านกันเถอะครับ”
“ค่ะ”
เธอหันไปสบตากับเขา ก่อนที่ฝ่ามือร้อนของเหมันต์จะเอื้อมมากุมมือของเธออีกครั้ง มันทำให้ฟางข้าวรู้สึกผ่อนคลายและไม่คิดว่ามันแย่สักเท่าไร อย่างน้อยเขาก็ดูแลเธออย่างดีเมื่อมาถึง บางครั้งฟางข้าวอาจจะคิดมากไปเอง...เรื่องทุกเรื่องที่เธอไม่ไว้ใจเขา
แต่หญิงสาวไม่เคยลืมว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร ร่างบางเดินเคียงคู่กับคนตัวใหญ่เพื่อเข้ามาในตัวคฤหาสน์ รอบข้างเงียบสงัด มีเพียงชายชุดดำลูกน้องของเขาที่อยู่ด้านนอกทำหน้าที่ตรวจตรารอบบ้านเท่านั้น ส่วนด้านในตอนนี้ไม่มีใคร เหมันต์จับมือเธอไปยังบันไดชั้นสองของบ้านทันที หญิงสาวพยายามหันมองไปรอบๆ ให้ได้มากที่สุด และเมื่อมาถึงชั้นสอง เขาก็พาฟางข้าวมายังหน้าห้องห้องหนึ่ง เธอเดาว่าคงเป็นห้องนอนของเขา
“นี่ห้องนอนของผม แต่ต่อจากนี้จะเป็นห้องนอนของเรา”
“...”
“และถัดไปอีกสองห้อง เป็นห้องทำงานของผม”
“...ค่ะ”
“ผมบอกคุณเผื่อเอาไว้ วันไหนถ้าผมเข้าไปนอนกับคุณช้า คุณจะได้เข้าไปตามผมถูกไงครับ”
เหมันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่านัยน์ตาของเขาได้แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ ส่วนมุมปากก็ยกยิ้มใจดีเช่นเดิม ฟางข้าวส่งยิ้มบางๆ ให้เขาและก้มหน้าลง เธอไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าผู้ชายที่ยืนข้างเธอ เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่การที่ฟางข้าวรู้ว่าห้องทำงานของเหมันต์อยู่ตรงไหน...นั่นเป็นเรื่องที่ดี
ประตูห้องนอน ‘ของเรา’ เปิดออกด้วยมือของชายหนุ่ม และแสงไฟก็สว่างขึ้นหลังจากนั้น ดวงตากลมกวาดมองไปรอบห้องก็พบว่าเป็นห้องนอนที่กว้างขวางมากๆ เตียงขนาดคิงส์ไซต์ตั้งอยู่มุมกำแพงทางขวา ส่วนทางซ้ายของห้องเป็นห้องน้ำขนาดใหญ่และ Walk-in Closet อยู่ถัดไปจากห้องน้ำไม่ไกล ตรงกลางห้องเป็นโซฟานั่งเล่นและตรงหน้าเป็นทีวีจอยักษ์ ทุกอย่างในห้องตกแต่งด้วยสีเข้มคุมโทน ฟางข้าวเดินตามเหมันต์เข้าไปในห้องของเขา และต่อจากนี้จะเป็นห้องของเธอด้วย...
มันทำให้ร่างบอบบางประหม่า แต่เธอควรทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุดเพื่อให้ไม่เหมันต์จับได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม และถ้าภารกิจของเธอสำเร็จเมื่อไร ถึงตอนนั้นอะไรๆ ก็คงดีขึ้น อย่างน้อยบิดามารดาคงไม่ปล่อยให้เธออยู่ที่นี่ตลอดไปหรอก
“ไม่ได้จัดเตรียมอะไรให้ดูว่าเป็นห้องหอเลย...หวังว่าคุณข้าวจะไม่ว่าอะไรนะครับ”
หลังจากที่เขาปิดประตูห้องและล็อคกลอน ร่างกำยำก็ประชิดเข้าด้านหลังของเธอ หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยและหันมองหน้าเขาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดต้นคอ
“ม...ไม่เป็นไรค่ะ”
“เหมือนคุณจะเกร็งๆ นะครับ”
“...”
“ผมอยากให้คุณข้าวทำตัวตามสบาย”
เธอกลืนน้ำลายเหนียวหนืด เพราะเอวคอดของเธอกำลังถูกลูบไล้ด้วยฝ่ามือหนาจากคนด้านหลัง เธอเข้าใจว่าเราสองคนนั้นเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ความรู้สึกบางอย่างของเธอทำให้ไม่สามารถผ่อนคลายได้จริงๆ
“ข้าวขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
ฟางข้าวผละออกจากอีกฝ่ายและเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทำให้คนที่ยืนซ้อนด้านหลังอยู่นานมองตามร่างระหงที่เดินไปไกลเรื่อยๆ นัยน์ตาของหนุ่มแสนดีก็เปลี่ยนเป็นร้ายกาจในฉับพลัน สายตาแพรวพราวจดจ้องร่างบอบบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจากด้านหลัง ก่อนจะใช้ลิ้นแตะขอบปากของตัวเองพลางนึกถึงช่วงเวลาต่อจากนี้
เหมันต์นึกบางอย่างขึ้นได้ เขากระตุกยิ้มและล้วงมือถือออกจากกระเป๋ากางเกง กดเข้าช่องแชทกลุ่มเพื่อนที่มีโฬมกับสิงหา สองคนนั้นทิ้งข้อความไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวันถึงความคืบหน้าในการแต่งงาน ดูเหมือนเพื่อนๆ ของเขาจะตื่นเต้นมาก มาเฟียหนุ่มจึงเลือกที่จะพิมพ์รายงานเพื่อนๆ ตัวเองถึงขั้นตอนที่เหมันต์ตื่นเต้นมากที่สุด
‘ตอนนี้อยู่ในห้องกู กูกะไม่แตะต้อง แต่เปลี่ยนใจแล้วว่ะ...เพราะของเด็ดฉิบหาย ลองของก่อนค่อยเอาไปขาย ราคาตกหน่อยก็ช่างแม่ง’
เมื่อพิมพ์ส่งไปในกลุ่มเสร็จ ใบหน้าหล่อร้ายก็มองไปยังประตูห้องน้ำที่ฟางข้าวอยู่ในนั้น ไอ้ท่าทางหงิมๆ ดูไม่มีพิษมีภัยของเธอ แต่ใครจะรู้ว่าข้างในนั้นซ่อนความเลวทรามมากแค่ไหน เลวกันทั้งตระกูล ทำไมเหมันต์จะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอคิดอะไรในตลอดทั้งวันนี้
พวกมันจ้องจะเกาะเขาไปตลอดชีวิต แถมยังคิดจะหักหลังล้วงความลับของเขาไปให้คนหนุนหลังของพวกมันอีก ได้คืบจะเอาศอก คนอย่างเหมันต์ไม่มีทางปล่อยให้คนที่คิดร้ายต่อเดชราชันย์ตายดีสักคน
ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวของ ‘ภรรยาสุดที่รัก’