“น้องชุนหลัน…”
ชุนหลันเมื่อตั้งสติได้ก็รีบคุกเข่าลงทันทีท่ามกลางความตกใจของท่านอ๋องที่ไม่คิดว่าเล่อชุนหลันจะตกใจจนลนลานเมื่อพบเขาเช่นนี้
“เล่อชุนหลันถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“ลุกขึ้นเถอะ”
""ขอบพระทัยเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ""
นางและมู่หรงเฉิงลุกขึ้นยืนตรงหน้าเขา ท่านอ๋องมองสำรวจทั้งคู่ก่อนจะหันมามองเล่อชุนหลันที่เอาแต่ก้มหน้า นี่มิใช่ท่าทีที่ปกติเวลาที่นางพบกับเขา
“เล่อชุนหลัน ส่วนเจ้าคงจะเป็นขุนนางที่พึ่งแต่งตั้งสินะทำไมไม่อยู่ในโถงงานเลี้ยง”
“ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมพึ่งจะมาถึงและเห็นว่าน้องชุนหลันอยู่ที่นี่จึงได้แวะมาทักทาย เช่นนั้น…”
“ชุนหลัน รีบไปเถอะ”
“เจ้าไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”
มู่หรงเฉิงลืมไปเสียสนิทเลยว่าเล่อชุนหลันชื่นชอบท่านอ๋องมากเพียงใด แม้ว่าเขาจะชื่นชมนางแต่ก็ทำได้แค่เพียงมองนางอยู่ไกล ๆ ในฐานะสหายสนิทของพี่ชายนางเท่านั้น
“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เล่อชุนหลันเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง นางพบว่าการเผชิญหน้ากับ “หยางอี้เหริน” อีกครั้งไม่ได้ทำให้ความรักที่นางมีต่อเขาน้อยลงแต่หากจะให้เลือกกลับไปอีกครั้ง นางคงจะ “โง่มาก” เต็มทีดังนั้นครั้งนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางเดินที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่เล่อชุนหลัน”
“ทูลท่านอ๋อง หม่อมฉันเพียงแค่มาเดินเล่นเท่านั้นเพคะ”
“เดินเล่น มิใช่ว่าเจ้าชอบงานเลี้ยงในวังหรอกหรือเหตุใดมาเดินเล่นแถวนี้ได้เล่า”
เขาเองก็พูดไม่ผิดเพราะเล่อชุนหลันมักจะชอบอยู่ในงานเลี้ยง โดดเด่นท่ามกลางผู้คนที่มักจะสนใจนางและชวนพูดคุย และนางเองก็ชอบทำตัวโดดเด่นในทุก ๆ งานเลี้ยงแข่งกับลี่จินเซียนแม้ว่าอีกฝ่ายจะสู้นางไม่ได้เลยก็ตาม เขามักจะชินตากับภาพของเล่อชุนหลันที่เป็นเช่นนั้นเสียมากกว่าจึงนึกแปลกใจที่พบนางที่นี่เพียงลำพัง
“หม่อมฉันไม่ค่อยสบายอีกอย่างงานเลี้ยงวันนี้ก็มีแต่ขุนนางผู้ใหญ่และขุนนางใหม่ดังนั้น…”
“งั้นหรือ เจ้าจึงไม่ชอบเพราะสตรีเช่นเจ้าชอบความรื่นเริงสินะ”
“ไม่ชอบเพคะ”
นางตอบเขาเพราะพลันนึกถึงการที่พบกับใครอีกคนที่ยืนที่หน้าหอซานเหนียงเมื่อตอนบ่าย นางตอบไปโดยไม่คิดและน้ำเสียงค่อนข้างแข็งกระด้างจนท่านอ๋องเองก็นิ่งไปเช่นกัน
“ไม่ชอบงั้นหรือ แล้ว…”
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังนางไม่บอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใดไปมิได้นอกจากสตรีสองเสียงที่มากด้วยจริตมารยาและร้ายกาจในชาติก่อนอย่าง “ลี่จินเซียน” เมื่อหันไปมองก็เห็นรอยยิ้มที่ถูกปั้นมาเพื่อเอาใจท่านอ๋องโดยตรงทำให้นางรู้สึกขนลุกได้ทุกครั้ง
“เจ้า… เอ่อ แม่นางชื่อว่าอะไรนะ”
สิ่งนี้ทำเอาชุนหลันลอบขำไปเล็กน้อย แม้ว่าลี่จินเซียนจะพยายามเข้าเฝ้าท่านอ๋องบ่อยกว่านางและพยายามเข้าหาเขาแต่แม้เพียงแค่ชื่อท่านอ๋องผู้นี้ก็จำไม่ได้ ลี่จินเซียนเสียหน้าไปเล็กน้อยแต่ก็ปั้นยิ้มกลับมาได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
“หม่อมฉันบุตรสาวท่านโหว ลี่จางหย่งนามว่าลี่จินเซียนเพคะ”
“อ้อ ที่แท้ก็บุตรท่านโหวลี่นี่เอง ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะ จะไป… เข้าห้องน้ำงั้นหรือ”
ชุนหลันแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว นี่คือหยางอี้เหรินผู้เถรตรง เย็นชาไร้หัวใจโดยแท้ เขาไม่ได้สนใจคนตรงหน้าและไม่สนใจสตรีแต่นางกลับแปลกใจว่าเขาจะจำลี่จินเซียนไม่ได้เชียวหรือทั้ง ๆ ที่หลังจากอภิเษกกับนางเขาก็รับลี่จินเซียนเข้าวังทันที
“ปละ เปล่าเพคะหม่อมฉันก็แค่… แวะมาทักทาย”
“งั้นหรือ เช่นนั้นทักทายแล้วเจ้าก็กลับไปได้แล้ว”
ลี่จินเซียนแทบจะทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกท่านอ๋องเอ่ยปากเช่นนี้ นางเพียงแค่ยิ้มก่อนจะคำนับอย่างอ่อนช้อยงดงามและเดินกลับเข้าห้องโถงงานเลี้ยงไปในทันที เล่อชุนหลันยกมือขึ้นมากลั้นขำแต่ท่านอ๋องกลับมองเห็น
“เจ้าขำอันใด”
นางสะดุ้งเล็กน้อยเพราะน้ำเสียงที่ถามมานั้นออกจะโมโหเล็กน้อย
“ขออภัยเพคะหม่อมฉันมิได้ตั้งใจทำเสียมารยาท”
“แต่ก็ทำไปแล้ว”
“เอ่อ... ก็มันขำนี่เพคะ”
รอยยิ้มของนางทำให้ผู้ที่ยืนมองอยู่อดขำไม่ได้ เพียงแค่นี้เล่อชุนหลันก็ใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ทั้งชีวิตในชาติก่อนของนางไม่เคยเห็นรอยยิ้มของบุรุษตรงหน้านี้มาก่อนเลยแต่วันนี้… เขากลับยิ้มเป็นครั้งแรกงั้นหรือ
“หืม เจ้ามองอันใดอีก รีบกลับเข้าไปได้แล้วข้าเองก็จะเข้าไปแล้วเช่นกัน”
“เอ่อ… เช่นนั้นเชิญพระองค์เสด็จไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน… จะไปเข้าห้องน้ำทูลลาเพคะ!!”
นางย่อคำนับให้เขาอ่อนช้อยไม่ต่างกับลี่จินเซียนและรีบเดินไปด้านหลังอย่างรวดเร็วเหมือนกับลี่จินเซียนเลยเช่นกัน หยางอี้เหรินหันไปมองนางที่ดูตื่นตูมและรีบเดินไปห้องด้านหลังและนึกขำขึ้นมา
“ท่าเดินอะไรของนางกันน่ะ”
“ทำไมเจ้ายังไม่เข้าไปที่โถงงานเลี้ยงอีก ขุนนางมากันครบแล้ว”
“พี่สาม!!”
“ชู่ว… เจ้าจะตะโกนทำไมกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดจับได้หรืออย่างไรกัน เจ้าขำอะไร”
“ข้าก็แค่… เปล่าพ่ะย่ะค่ะเมื่อครู่ท่านบอกว่าขุนนางมากันครบแล้วงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ใช่แล้ว”
“แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่เล่า”
“เอ่อ… คือข้าเหมือนจะเห็นคนรู้จักแต่คงตาฝาด รีบเข้าไปกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาเดินเข้าไปยังห้องโถงแล้ว ไม่นานเล่อชุนหลันก็เดินออกมาจากด้านหลังและรีบเดินตามไปและกลับไปยังที่นั่งของตัวเองที่โถงงานเลี้ยง
“ไปถึงไหนมาท่านอ๋องเสด็จมาได้สักพักแล้วกำลังให้โอวาทขุนนางใหม่อยู่”
“ข้าหิวเจ้าค่ะ ขอกินก่อนแล้วค่อยพูด”
“อะไรของเจ้าล่ะนี่ เอาแต่กินเดี๋ยวก็ติดคอหรอก เอาน้ำชานี่ดื่มไปก่อน”
“เจ้าค่ะ”
นอกจากกินแล้วนางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดนี่นา แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ถึงช่วงเวลาที่นางจะต้องเผชิญกับสายตาที่กดดันจากผู้คนในห้องนี้ก็ตามทีเถอะ อีกอย่างตอนนี้นางก็เริ่มคิดวิธีที่จะหาข้ออ้างแล้วด้วย
“เริ่มแล้วสินะ เฮ้อ…”
เมื่อเสนาบดีเล่อพูดนางก็รู้ได้ทันทีว่าบิดาหมายถึงเรื่องใด แม้ว่าในตอนนั้นนางจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาเองและเดินเข้าไปหาเขาที่ทำให้ทุกคนต่างกดดันเพื่อให้ท่านอ๋องตัดสินพระทัย ครั้งนั้นเพราะนางอยากเอาชนะใจเขาจนหลงลืมไปว่าทำให้ลี่จินเซียนไม่พอใจจนคิดร้ายและทำให้นางตกนรกทั้งเป็น ดังนั้นวันนี้ชุนหลันจะไม่เดินซ้ำรอยเดิมอีก
“เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้คิดเอาไว้ มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องรีบจัดการ”
“เขาก็พูดเหมือนเดิมไม่มีผิดนี่นา”
“บุตรของท่านโหว เป็นถึงหลานสาวของพระสนมนางเองก็มีความเหมาะสมนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เริ่มแล้วสินะ”
ชุนหลันพึมพำเบา ๆ เพราะตอนนี้ทุกสายตาหันความสนใจไปยังท้องพระโรงด้านหน้า ท่านอ๋องที่กำหมัดแน่นเพราะไม่อยากพูดเรื่องนี้ขึ้นในงานเลี้ยงแต่ก็เลี่ยงไม่ได้เริ่มพักตร์แดงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความโกรธ
“เรื่องนี้ข้าคิดว่าเสด็จพ่อเป็นผู้เตรียมการให้ข้าแล้ว”
“แต่ว่าท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เรื่องแต่งตั้งพระชายาจะช้าไปอีกไม่ได้แล้ว อีกไม่กี่เดือนแคว้นอานฉวนก็จะมาเยือน ชาวเหลียงโจวคงไม่อยากได้พระชายาที่มาจากองค์หญิงต่างเมืองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใกล้แล้วสินะ อีกเดี๋ยวก็จะมีคนพูดชื่อข้าออกมา”
“ใต้เท้าอวี้หากท่านพูดเช่นนั้นข้าก็คิดว่า…บุตรีท่านเสนาบดีเล่อมีความเหมาะสมกว่าอีกทั้งนางยังเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเหลียงโจว นางเหมาะสมกว่าผู้ใดในเหลียงโจวนี้พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“นั่นอย่างไร”
ทุกสายตาหันมามองที่เล่อชุนหลันทันที แม้แต่จวินซานหรง… นางจำเขาได้แล้ว เขาเป็นขุนนางที่มาใหม่เป็นรองเจ้ากรมขุนนางและมักจะอยู่ข้างกายท่านอ๋องแต่ก็ไม่ค่อยจะปรากฏตัว มาในตอนนี้นางถึงพึ่งจะจำได้เพราะเขาเป็นผู้บอกให้ท่านอ๋องยอมรับนางให้เป็นพระชายา เป็นคนหนึ่งที่ผลักนางเข้าสู่ขุมนรกในครั้งนั้น “ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง”
“หม่อมฉันเล่อชุนหลัน ขอประทานอภัยแต่ตำแหน่งพระชายาอันทรงเกียรตินี้หม่อมฉันคงมิบังอาจรับได้เพคะ”