ตอนที่ 7
แม่นางมีนามว่าอะไร
คำพูดจากชายเบื้องหน้าดังขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ส่งผลให้ไป๋อวี่ซีจำเป็นต้องเลื่อนสายตาไปมองอย่างช่วยไม่ได้ บุรุษรูปงามแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพียงแรกพบสบตาร่างกายถึงกับชาไปชั่วขณะ
"คุณหนูผู้นี้ได้ยิน.."
"เชิญนั่งเจ้าค่ะ"
เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย รู้สึกได้ว่าน้ำลายไหลออกจากริมฝีปาก เมื่อได้สติอวี่ซียกมือตนเองขึ้นมาเช็ดมุมปากด้วยท่าทางเขินอาย โชคยังดีที่ใบหน้าของเธอนั้นยังอยู่ภายใต้หมวกสานใบใหญ่ ไม่เช่นนั้นต่อหน้าชายผู้นี้คงทำเรื่องน่าขายหน้าไปเสียแล้ว
เธอมองไปรอบร้านอีกครั้งถึงเห็นว่าที่แห่งนี้โต๊ะเก้าอี้เต็มทุกตัว พอทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดบุรุษรูปงามเช่นนี้ถึงมาขอร่วมโต๊ะ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ทำได้เพียงแค่ต่างคนต่างกินอาหารที่ตนเองสั่งมา
"มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง.. ขอบคุณแม่นางมาก"
"ข้าไม่ชอบติดหนี้ใคร ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณชายเพียงแต่ข้าขอปฏิเสธ"
ในขณะที่ทานอาหารไปเธอก็ยังคงลอบสังเกตชายที่อยู่ชั้นบนไปตลอดเวลา จนมั่นใจได้ว่าชายคนที่เห็นนั้นคือท่านเจ้าเมืองของเมืองนี้ เมื่อทางนั้นเริ่มเคลื่อนไหวนางจึงต้องตัดใจจากขาหมูน่องโตตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้
"ข้าขอตัว"
แต่ไม่รู้ว่าชายผู้นี้จงใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญ ในตอนที่นางลุกขึ้นเพื่อที่จะสะกดรอยตามชายผู้นั้น บุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน
ปึก!
ทำให้ทั้งคู่ชนกันอย่างแรงจนอวี่ซีนั้นเกือบล้มหงายหลัง โชคยังดีที่พ่อหนุ่มรูปหล่อผู้นี้รับนางเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มลงไปนอนจูบพื้น แต่เหมือนโชคของนางร้ายตัวท็อปอย่างเธอจะใช้หมดไปเสียแล้วกระมัง เพราะตอนที่ชายผู้นั้นรับตัวเธอเอาไว้ใบหน้าของเขาได้เข้ามาในหมวกสานของเธอ
ดวงตาคู่คมจ้องมองดวงตาคู่กลมด้วยความรู้สึกหลากหลาย หากเป็นยุคปัจจุบันคงเรียกอาการเหล่านี้ว่ารักแรกพบเห็นจะได้ ใบหน้าที่แม้แต่ดาราอันดับหนึ่งของประเทศยังสู้ไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเคลิบเคลิ้มจนแทบลืมตัว
"อะแฮ่ม! ขออภัยแม่นาง.. ล่วงเกินแล้ว"
"มะ.. ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าขอตัว"
"เดี๋ยว!"
แต่ยังไม่ทันที่ไป๋อวี่ซีจะได้เดินออกจากตรงนั้น เขากลับเรียกเธอเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเกรงขาม
"คุณชายท่านนี้มีอะไรกับข้างั้นหรือ"
"ไม่ทราบว่าแม่นางมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรงั้นหรือ ข้าขอทราบได้หรือไม่"
หญิงสาวมองบุรุษผู้นี้ด้วยความตกใจผ่านหมวกสานใบโต ตั้งแต่เกิดมาจน24ปี เธอไม่เคยรู้สึกถึงการรุกหนักจากผู้ชายที่ดูจริงใจเท่านี้มาก่อน หากเป็นแค่คำถามก็อาจจะคิดว่าเป็นการถามไถ่มนุษย์โลกทั่วไป แต่ใบหน้าและแววตาที่ดูหวานเยิ้มราวกับคนคลั่งรักนั่นคืออะไรกัน
"เพียงแค่คนผ่านทางเกรงว่าไม่จำเป็น.. หากมีบุญวาสนา หากได้พบกันคราวหน้าข้าจะบอกชื่อกับท่าน"
ไป๋อวี่ซีเอ่ยเพียงแค่นั้นพร้อมทั้งเดินออกห่างจากโต๊ะมาสองสามก้าว
"ได้! หากครั้งหน้าพบกันอีกคราคงเป็นบุญวาสนาของเราสอง ข้าจะขอถามชื่อแม่นางอีกครั้ง"
•••••
"ท่านอ๋อง.."
"อยู่ที่นี่อย่าเรียกข้าว่าท่านอ๋อง.. เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปจัดการไปถึงไหนแล้ว"
เหิงเยว่มองตามสตรีผู้นั้นไปจนสุดสายตา นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถูกชะตากับสตรีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของนางช่างงดงามหาใครเปรียบ ดวงตากลมโตเป็นประกายสีน้ำผึ้ง ริมฝีปากบางได้รูปแม้ไม่ถูกแต่งแต้มด้วยชาดราคาแพงแต่กลับดูน่ามอง ช่างเป็นใบหน้าที่ชวนหลงใหลยิ่งนัก
"สืบได้ความแล้วขอรับ"
"เช่นนั้นก็ดี โม่ฉินเจ้าไปจัดการเถอะ"
"ขอรับ"
เยว่อ๋องสั่งองครักษ์ให้ไปจัดการหาหลักฐานการทุจริต พลางคิดไปถึงหนังสือร้องเรียนและขอความช่วยเหลือที่ถูกส่งเข้าไปในราชสำนัก โชคดีที่ก่อนออกมาขอร้องฮ่องเต้ว่าอย่าป่าวประกาศเรื่องการมาของตนรวมถึงชายา ทำให้หาหลักฐานได้ง่ายยิ่งนัก
"ยุงก็กัดยากันยุงก็ไม่มี ครีมทาผิวก้ไม่มี แย่แล้ว ๆ ผิวเป็นจุดด่างดำหมดแล้วอวี่ซี!"
ในตรอกแคบ ๆ ใกล้จวนเจ้าเมือง ไป๋อวี่ซีที่แอบซุ่มดูสถานการณ์อยู่เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ นานหลายชั่วยามที่นางเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอดูช่องโหว่ของท่านเจ้าเมืองหนาน แต่จนแล้วจนรอดหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองกลับมายังจวนก็ยังไม่มีผู้ใดเข้าออกที่แห่งนี้เลยสักคน จวบจนตะวันลับขอบฟ้าก็ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการเลยสักอย่าง
ฟรึ่บ!
ด้วยความมืดสลัวผสมกับความเงียบ ปลายหางตาของนางมองเห็นเงาดำเงาหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงรั้วของจวนเจ้าเมืองเข้าไปด้านใน
"ใครกัน ขโมยงั้นเหรอ"
ฟรึ่บ!
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้หายสงสัย ได้มีเงาดำอีกเงากระโดดข้ามกำแพงจวนตามไปติด ๆ เป็นไปได้มากกว่าทั้งสองเงานั้นจะเป็นพวกเดียวกัน แต่จากที่คาดเดาหากเป็นแขกท่านเจ้าเมืองไม่น่าจะต้องใช้วิธีเช่นนี้ จึงเป็นไปได้มากว่าทั้งสองคนเมื่อครู่ก็อาจจะเป็นศัตรูของเจ้าเมือง แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าสองคนนั้นเห็นจะเป็น..
"โหว~ ไม่มีสลึงยังกระโดดตัวปลิวกันขนาดนั้น ถ้ามีสลึงไม่ลอยบนฟ้าได้เลยงั้นเหรอ"
และเพราะว่าชีวิตจริงนางก็เป็นเพียงแค่ดารานักแสดง เมื่อประสบกับชีวิตจริงการลอยตัวเช่นนั้นไม่มีทางทำได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้ที่เข้าไปนั้นคือผู้ใดแต่การบุกรุกเคหสถานยามวิกาลย่อมไม่ใช่สหายแน่นอน
"รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน"
•••••
"อู่ถังเจ้าว่าเหตุใดคุณหนูยังไม่กลับมา จะเกิดอันตรายกับคุณหนูหรือไม่"
"ยังไม่ครบสามชั่วยามตามที่คุณหนูสั่ง"
"ข้ารู้.. เพียงแต่ข้าไม่ไว้ใจ"
"หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะไปดูที่จวนเจ้าเมืองหรือไม่"
"ไป"
ทั้งสองพยักหน้าให้การพร้อมกับตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังจวนเจ้าเมือง เมื่อสองชั่วยามก่อนอวี่ซีสั่งให้เมี่ยวเมี่ปรากฏไปที่จวนสกุลเฉิง บอกเรื่องราวทั้งหมดให้กับเฉิงเหว่ยเพื่อให้เขาตามหาที่ซ่อนเสบียงทำให้ต้องแยกย้ายกันทำงาน และมาพบกับที่รถม้าในอีก3ชั่วยามต่อมา
"แต่หากเราไปแล้วคุณหนูมาที่นี่ไม่เจอเราจะทำอย่างไร"
สองเท้าของหญิงสาวเตรียมจะวิ่งขึ้นรถม้า แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เกินเวลาที่คุณหนูของนางตั้งไว้จึงเริ่มเป็นกังวล
"เช่นนั้นเรารออยู่ที่นี่อีกหน่อย อีกหนึ่งก้านธูปก็จะครบเวลาที่เรานัดกันไว้หากคุณหนูยังไม่มาเราจะไปที่จวนเจ้าเมืองทันที"