ตอนที่ 9 : พาขึ้นห้อง
รถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนตัวอยู่บนท้องถนนโดยที่คนขับเป็นหญิงสาวร่างเล็กที่แสดงสีหน้าเป็นกังวล แต่อีกคนไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่ได้ตื่นกลัวต่อให้รู้ว่าเธอขับรถไม่เป็น สายตาคมกริบมองคนตัวเล็กและมองทางด้านหน้าอยู่เป็นระยะ กว่าจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านได้กินเวลาไปหลายนาที ถึงจะมีความรู้สึกหงุดหงิดในท่าทางของเธอแต่ไม่ทำให้ไฟหงุดหงิดจนทนไม่ไหว ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความอดทนกับความหงุดหงิดนี้เหมือนกัน
"เธอกินเต่าเข้าไปงั้นเหรอ"
"ก็บอกว่าขับรถไม่เป็นไม่เข้าใจหรือไง"
"เธอไม่ควรมาเป็นหมอนะ แว่ดๆใส่คนไข้แบบนี้ไม่ใช่คุณสมบัติของหมอเลยสักนิด"
"คนไข้คนนั้นคือคุณคนเดียวนั่นแหละ" ฉันพึมพำกับตัวเองแต่เชื่อว่าเขาได้ยิน รู้ทั้งรู้ว่าฉันขับรถไม่เป็นยังให้ขับออกมา ใบขับขี่ก็ไม่มี จะขับไปชนอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ เงินเดือนก้อนแรกยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เกิดต้องรับผิดชอบชีวิตใครฉันจะหาเงินจากไหน อีกอย่างรถคันนี้ต่อให้ฉันไม่รู้มูลค่าของตัวรถแต่เชื่อว่าค่าซ่อมค่าบริการต่างๆคงแพงหูฉี่ ไม่รู้ทำไมเขาถึงให้ฉันแตะต้องรถคันนี้ เจอกันไม่กี่วันกัดกันอย่างกับหมา ยังกล้าให้ฉันขับอีก
บ้านก็รวย คนขับรถไม่มีเลยหรือไง
ไฟปรายตามองคนตัวเล็ก นึกอยากจะเถียงก็เถียงหัวชนฝาจริงๆ
มือหนาเอื้อมไปจับพวงมาลัยและประคองเบาๆโดยที่มีเธอเป็นคนขับ มือหนาจับโดนมือคนตัวเล็กแต่ทำนิ่งเฉย
"เธอขับกินเลนฝั่งโน้น มองเส้นสีขาวด้วย"
มือหนาที่มาสัมผัสยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว พวงมาลัยมีพื้นที่เยอะแยะทำไมต้องมาจับตรงมือฉันด้วย
บรรยากาศภายในรถเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่ดังขึ้น ฟ้าใสมองมือหนาที่ยังแตะอยู่ที่เดิมและมองถนนเบื้องหน้าด้วยความประหม่า
ไม่นานรถสปอร์ตคันหรูขับมาจอดอยู่บริเวณรีสอร์ทที่สร้างใหม่ กว่าจะมาถึงนี่ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว ดีที่โดยรอบรีสอร์ทมีแสงไฟนีออนส่องแสงสว่าง
ฟ้าใสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ตลอดทางเขาเป็นคนบอกทางมาที่นี่ และประคองพวงมาลัยให้ฉันขับมาจนถึงจุดหมายปลายทางได้ปลอดภัย และเราไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีกเลยหลังจากนั้น
"จอดรถแล้วควรใส่เกียร์ P ไม่ใช่นึกอยากจะลงก็ลง"
"แล้วทำไมไม่บอกให้หมดล่ะคะ" ฉันทำตามคำบอกกล่าวของเขาทันทีและตวัดสายตามองคนข้างๆด้วยความไม่พอใจ
“มีหูไว้ประดับหัวหรือไง ฉันบอกไปแล้ว เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจริงๆ”
ฉันนิ่งไปชั่วขณะและนึกขึ้นได้ แต่ยังตีมึนเล็กน้อยก่อนจะเดินลงจากรถก่อนและอ้อมไปเปิดประตูพาเขาลง ไม่รู้ว่านี่คือหน้าที่หมอหรือหน้าที่ของใคร ทำไมต้องพาเขาไปไหนมาไหนทั้งที่ไม่อยู่ในเวลางาน
การจะพยุงเขาลงต้องโน้มตัวไปหาร่างแกร่งอีกครั้งและจับแขนของเขาพาดบ่า และคนบ้านี่ได้ทิ้งตัวใส่ฉันเต็มๆ น้ำหนักราวกับยกท่อนซุง เขาไม่คิดจะช่วยพยุงตัวเองหน่อยเหรอไง กว่าจะเอาตัวออกจากรถได้เล่นเสียเหงื่อไปไม่น้อย
"ไม่พอใจอะไรฉัน เวลาหมอมองคนป่วยเขามองตาขวางแบบนี้?"
"เห่อะ" ฟ้าใสได้แต่หัวเราะในลำคอและพยุงเขาต่อไป "จะไปทางไหนต่อคะ"
"แค่นี้แหละ" ไฟยกแขนออกจากบ่าคนตัวเล็ก และกะเผลกขาไปยังพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่ไม่ไกล ไม่คิดเลยว่าการแกล้งเจ็บขาแบบนี้จะเดินลำบากถึงเพียงนี้ ไม่สมกับบุคลิกตัวเองเลยสักนิด และตอบตัวเองไม่ได้ด้วยว่าทำเพื่ออะไรนอกจากเอาชนะเธอต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ
ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มที่เดินห่างออกไป ยังอ้าปากค้างในสิ่งที่เขาทำ แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงเดินไหว ทีตอนออกจากบ้านฉันนี่แบกไหล่แทบทรุด
"เหลือเชื่อเลยผู้ชายแบบนี้ อดทนไว้ฟ้าใส ถ้าเธอไม่ยอมคนอื่นจะซวยไปด้วย อดทนเท่านั้น" ฉันได้แต่พูดให้กำลังใจตัวเอง การดูแลผู้ชายคนนี้ต้องฝึกความอดทนมหาศาล
"ฉันจะกลับแล้ว"
"ห๊ะ แต่คุณเหยียบพื้นยังไม่ถึงห้านาทีเลยนะคะ" ดวงตากลมโตเบิกตาโพลงด้วยความตกใจอย่างลืมตัว เมื่อเขาเดินกลับมาทั้งที่เดินไปไม่กี่ก้าว
"แล้วไง พยุงฉันไปที่รถ ฉันเดินไม่ไหวแล้ว"
เหลือเชื่อเลยผู้ชายคนนี้ เวลาที่ฉันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายขับรถมายังไม่คุ้มเลยด้วยซ้ำ...อดทนไว้ฟ้าใส
ไม่นานรถสปอร์ตคันหรูได้ขับเคลื่อนออกจากบริเวณนั้นด้วยความเร็วเพียงยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ต่างจากปล่อยให้รถไหลไปตามทาง ไฟนั่งส่ายหัวกับความเชื่องช้าแต่ไม่ได้บ่นหรือหงุดหงิดเพิ่ม
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
"ปกติฉันขับรถจากรีสอร์ทกลับมาบ้านใช้เวลาสิบนาที เธอเล่นซะครึ่งชั่วโมง" ไฟพูดขึ้นหลังจากเธอขับมาจอดภายในโรงจอดรถของบ้านพักตากอากาศและเป็นการจอดที่ไม่ตรงช่องจอดเลยสักนิด
"คุณน่าจะเจ็บปากแทนเจ็บขานะคะ"
"ถ้าเธอกล้าด่าฉันอีกคำเดียว พรุ่งนี้ทนายจะถึงโรงพยาบาลทันที"
ฟ้าใสมองใบหน้าคมคายอยู่สักพัก และนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจเพื่อให้สงบอารมณ์ เขาขู่ฉันแบบนี้อีกแล้ว เพราะนี่คือจุดอ่อนของฉันไง
"คุณจะให้ฉันทำยังไงต่อ นี่ก็หนึ่งทุ่มแล้ว ฉันต้องขี่จักรยานกลับบ้านอีกนะคะ"
"พาฉันไปส่งที่ห้อง"
"วะ ว่าไงนะคะ ให้คุณลุงพาไปไม่ได้เหรอคะ" คำตอบของเขาทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ เกิดมายังไม่เคยเข้าห้องผู้ชายแปลกหน้าเลย
"หมดเวลางานของลุงแล้ว"
ฟ้าใสเผลอกัดปากตัวเองโดยไม่รู้ตัวในระหว่างใช้ความคิด จนเผลอทำให้อีกคนขมวดคิ้วเล็กน้อยยียวน
"เธอคงไม่คิดว่าฉันจะปล้ำเธอหรอกนะ"
"พูดจาบ้าๆ ฉันไม่คิดแบบนั้นกับคนไข้ของตัวเองหรอกค่ะ" ฟ้าใสลนลานลงจากรถอย่างเร็วพลัน
ใครมันจะบ้าคิดอกุศลแบบนั้น ยิ่งเป็นคุณแล้วฉันยิ่งไม่คิดเลยสักนิด แค่คนไม่เคยเข้าบ้านผู้ชายที่ไม่รู้จักแถมยังให้พาขึ้นห้องนอนอีก คนไข้ผู้ชายที่ผ่านมาก็ไม่เคยพาไปส่งถึงบ้านแบบนี้ ฉันตั้งรับมือไม่ทันต่างหากไม่ได้คิดวิปริตสักหน่อย
ภายในบ้านหลังใหญ่
หญิงสาวร่างเล็กช่วยพยุงชายหนุ่มร่างโตขึ้นบันไดด้วยสภาพทุลักทุเล เอียงซ้ายทีเอียงขวาที ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ กับแค่ขึ้นบันไดเธอใช้เวลาเกือบห้านาทีแล้วยังไม่ถึงสักที
"คุณไฟช่วยพยุงตัวเองหน่อยได้ไหมคะ ไม่งั้นได้ล่วงบันไดกันทั้งหมดแน่" ฉันหันไปมองหน้าเขาและแสดงถึงความไม่พอใจ ก็เขาเล่นทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ฉันทั้งหมด พอถึงบ้านเดินไม่ไหวขึ้นมาซะงั้น
"ฉันปวดขา"
"ขาอีกข้างคุณไม่ได้ปวดนิคะ ทิ้งน้ำหนักขาฝั่งนั้นหน่อย ฉันเป็นหมอดูออกนะว่าคุณแกล้ง"
"เธอกำลังหมิ่นประมาทฉันระวังโดนอีกข้อหา"
ฟ้าใสมองใบหน้าคมคายแบบไม่สบอารมณ์ เอะอะเอากฎหมายมาขู่
"ถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าคุณโกหก ฉันจะฟ้องกลับเป็นสิบเท่าเลยคอยดู"
"รอวันนั้นเหมือนกัน" ไฟไม่ได้สะทกสะท้าน และยังทิ้งน้ำหนักใส่ตัวเธอตามเดิม ผู้หญิงคนนี้อึดใช่เล่นที่แบกร่างหนาของเขามาเกือบจะถึงด้านบน
กว่าจะพาเขาขึ้นมาถึงชั้นบนได้เล่นเอาหอบเหนื่อย ดวงตากลมโตมองประตูห้องที่มีอยู่สามห้อง เพราะไม่รู้ว่าควรจะพาเขาไปห้องไหน
"ซ้ายสุด"
ทันทีที่ได้คำตอบฉันเลยพาเขาไปตามห้องที่ต้องการ มือเรียวเล็กเอื้อมไปจับลูกบิด
"ฉันจำห้องผิด ห้องฉันขวาสุด"
"คุณไฟ!"
"แล้วเธอจะเสียงดังทำไม ก็ฉันมานอนบ้านนี้ไม่บ่อย ลืมกันบ้างไม่ได้เหรอ"
"อย่าให้ฉันรู้พอถึงห้องนั้นแล้วคุณเปลี่ยนอีกนะคะ" จากใบหน้าขาวใสกลายเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธและเหนื่อย ฉันอยากจะทุ่มเขาลงตรงนี้และปล่อยให้เขาเดินไปเอง สุดท้ายได้แค่คิดเท่านั้นเพราะตอนนี้ฉันพาเขามาถึงหน้าห้องฝั่งขวาที่เขาบอก
ใบหน้าหวานหันมองชายหนุ่มอีกครั้งแต่เขายังนิ่งเฉย มือเรียวเล็กเอื้อมไปบิดลูกบิดประตูพร้อมกับเปิดออก
พรึบ
มือที่ว่างอยู่ของไฟกดเปิดสวิตช์ให้ไฟส่องแสงสว่างทั่วห้อง คนตัวเล็กพาเขามาถึงเตียงนอนโดยไม่มีปากมีเสียงอีก สมแล้วที่เธอเป็นหมอเพราะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย
"เสร็จหน้าที่ฉันแล้ว กลับก่อนนะคะ"
ฉันแทบไม่สนใจการตกแต่งของห้องนี้เลยด้วยซ้ำเพราะอยากออกจากห้องนี้เต็มที อีกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรจดจำ
"ยาอยู่ข้างล่าง เอามาให้หน่อย"
ฟ้าใสถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ และเดินปึงปังไปตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ใบหน้าหวานแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอย่างเปิดเผย
ภายในห้องเงียบลงทันทีเมื่อหญิงสาวเดินออกไป สายตาคมยังจับจ้องไปที่ประตูบานนั้นที่ถูกปิดลง ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งเธอ
นิ้วแกร่งปลดกระดุมเสื้อออกจนหมดและโยนกองกับพื้น ตามมาด้วยปลดกระดุมกางเกงก่อนจะรูดซิปลง ในเวลาเพียงพริบตากางเกงขายาวถูกปลดเปลื้องออกจากร่างกายจนเหลือแค่กางเกงชั้นในสีขาวที่ปกปิดลูกชายเอาไว้
แกร่ก...
"ยาของคุ...ไอ้บ้า" เมื่อฉันเปิดประตูเข้ามาและพูดกับเขายังไม่ทันจบ เพราะเงยหน้าขึ้นมาเห็นชายหนุ่มเปลื้องผ้าอยู่ต่อหน้า ต่อให้มันเป็นเวลาชั่ววินาทีแต่รู้ว่ากางเกงในเขาสีอะไร สีขาวนั้นยังตราตรึงอยู่ในสมอง
ฟ้าใสหันตัวหนีและหลับตาปี๋ คนบ้าอะไรรู้ทั้งรู้ว่าฉันต้องเข้าเอายามาให้ แต่ดันถอดเสื้อผ้าออกเนี่ยนะ
ไฟแสยะยิ้มชอบใจที่เห็นเธอเสียอาการ ร่างกายกำยำค่อยๆเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวตัวเล็กที่หันหน้าหนี
ทำไมฉันถึงรู้ว่าเขากำลังเดินใกล้เข้าเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เขายังเดินไม่ไหวอยู่เลยไม่ใช่เหรอไง แต่ไม่ทันได้คิดเพราะตอนนี้หลังหูของฉันรับรู้ถึงลมอุ่นๆที่เป่ารด ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงเพราะกลิ่นน้ำหอมลอยเข้ามาแตะจมูกนั่นแปลว่า…
พรึบ
"อ๊าย คุณไฟ" ทันทีที่หันมาอย่างลืมตัวทำให้เห็นว่าร่างแกร่งยืนซ้อนหลังฉันอยู่ก่อนแล้ว พอหันมาทำให้หน้าของเราห่างกันแค่คืบ และทำไมฉันต้องหันมาด้วยล่ะเนี่ย ทำไมไม่เดินหนีออกไปจะหันมาทำบ้าอะไร ใบหน้าหวานรีบหันไปอีกทางเพราะสายดันไปโฟกัสผิดจุด เห็นจุกสีน้ำตาลอมชมพูนั้นเต็มตา
นี่มันบ้าอะไรกัน ฉันจะโดนไอ้หมอนี่กระทำชำเลาเหรอไง หรือนี่มันคือแผนของเขาเพื่อหลอกล่อให้ฉันเข้ามาในห้องนี้