จนเมื่อการจัดการทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จสิ้น
“นี่! จะเอาไปไหน” เสียงเดือนดาวถามหญิงแม่บ้านคนหนึ่งที่กำลังจะยกถาดนมกับของกินเล่นขึ้นไปยังบริเวณด้านบนชั้นสอง
“เอาไปไว้ให้คุณชาย…”
“ไม่ต้อง! เดี๋ยวฉันเอาไปเอง” ว่าแล้ว เดือนดาวก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปแย่งถาดนั้นเดินตรงขึ้นไปด้วยความรวดเร็ว โดยมีสายตาของหลายคนที่มองตามไปด้วยความเอือมระอา รวมถึงน้ำฝนที่ดูไม่ชอบใจนิสัยก้าวร้าวไม่มีมารยาทของอีกคนเป็นอย่างมาก
“หวังสูงอยากได้คุณชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยชายตามองก็ยัง…หึ คุณชายเขาไม่โง่หรอก” น้ำฝนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ขณะที่ลูกหว้าเองก็ได้ยินแต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจอะไร
“ยาย ยังเหลืออะไรอีกไหม” หญิงวัยสิบเก้าหันถามยายของตัวเอง
“ไม่มีอะไรแล้วแหละ กลับห้องกันได้แล้ว” ยุพินตอบกลับ หลังจากอาหารเย็นเสร็จก็จะหมดหน้าที่ของแม่บ้านส่วนหนึ่ง จะหลงเหลือก็แต่แม่บ้านอีกสองสามคนไว้สำหรับพวกคุณ ๆ เขาต้องการเรียกใช้ ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไร เนื่องจากทุกคนจะต้องเข้านอนเพื่อไปทำงานกันแต่เช้าของวันต่อ ๆ ไป
ชีวิตของแม่บ้านก็เช่นกัน หากวันไหนเจ้านายตื่นเช้า พวกเธอก็จะต้องตื่น…ให้เช้ากว่า
“จะอาบน้ำก่อนไหม หรือให้ยายไปอาบน้ำก่อน” เสียงยุพินถามหลานสาวของตัวเองขึ้นเมื่อทั้งสองเดินเข้ามายังห้องพักขนาดพอดีสำหรับพักอาศัย
“ยายอาบก่อนก็ได้” ลูกหว้ายิ้มบาง ๆ ตอบกลับ ทำให้ยุพินเดินออกไปจัดการอาบน้ำแต่งตัว โดยหลังจากที่ยุพินทำธุระต่าง ๆ เสร็จสิ้น ก็จะเป็นคิวของลูกหว้าที่ไปอาบน้ำแต่งตัวเช่นกัน ซึ่งเมื่ออาบน้ำเสร็จ คนตัวเล็กก็เดินเข้าไปหาร่างของหญิงสูงวัยที่นอนเคลิ้มจะหลับอยู่บนเตียง
“ยาย ได้ทาครีมหรือเปล่า” เสียงหวานถามคนที่นอนหลับอยู่
“…” ยุพินก็เงียบไม่ตอบ
“ยาย…”
“นอนเถอะน่า”
“ไม่ได้สิ ผิวยายแห้งง่ายนะ แตกขึ้นมาเดี๋ยวก็แสบเอาได้อีก”
“ไม่เป็นไร…”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ ต้องทานะ” ว่าแล้ว ลูกหว้าก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปหาหลอดครีมยี่ห้อที่ใช้อยู่ของยายตัวเอง ทว่าทันทีที่หยิบเข้ามากดบีบ ใบหน้าเรียวใสก็ต้องชะงักไปกับความโล่งพวกนั้น บ่งบอกได้ถึงการหมดแล้วของครีม ร่างเล็กที่รับรู้ถึงความประหยัดของยายที่ไม่ยอมซื้อครีมใหม่ก็ชะงักเผลอเม้มปากไปกับสถานการณ์นี้
“หมดแล้วทำไมไม่บอกหว้าล่ะ”
“ช่างมันเถอะ มันไม่ได้จำเป็นอะไร”
“แต่ยายชอบผิวแห้งนะ เวลาหน้าหนาวมันจะแตกแล้วก็แสบ…”
“แค่นั้นเอง ไม่เป็นอะไรหรอก สิ้นเปลืองเปล่า ๆ” คำพูดของคนเป็นยาย ทำเอาลูกหว้าจุกอยู่ภายในใจ เธอรับรู้มาโดยตลอดถึงความเสียสละของยายตัวเอง ทั้งเรื่องการส่งเสียเลี้ยงดูตัวเธอ รวมถึงแม่ที่ได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้าง…
“หว้า” เสียงของหญิงสูงวัยเอ่ยเรียกร่างบางที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ ทำให้ลูกหว้าได้สติหันไปมองสบสายตากับยายของตัวเอง
“อยากเรียนต่อไหม”
“…” คนตัวเล็กก็เงียบ
“ถ้าอยากเรียนต่อ ยายส่งให้ได้นะ เมื่อตอนเด็ก ๆ แกเองก็เข้าเรียนช้าไปหนึ่งปีแล้ว เพราะแม่แก ยายไม่อยากให้หว้าต้องเรียนช้าไปอีก…”
“หว้ายังไม่อยากเรียนต่อ” ริมฝีปากสีหวานสวนกลับยายตัวเอง จริง ๆ แล้วเธอต้องเรียนจบมัธยมปลายด้วยอายุสิบแปด แต่เพราะตอนนั้นแม่เธอมัวแต่พยายามหาทำงาน ทำธุรกิจที่สุดท้ายก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ ทำให้เธอต้องเข้าเรียนช้าไปกว่าเกณฑ์หนึ่งปี เธอจึงจบมัธยมปลายมาด้วยอายุสิบเก้า แต่ด้วยความที่หน้าเรียวตัวเล็กทำให้บางคนก็ไม่รู้ว่าเธอโตกว่า ตอนนี้ก็เช่นกัน
“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่อยากเรียน”
“ถ้าหว้าเรียนต่อ ยายก็จะต้องมีภาระเพิ่ม”
“ไม่เลย ยายส่งไหว”
“ไม่เอา แค่ครีมยายยังทนเจ็บไม่ซื้อเลย แล้วหว้าจะเรียนลงได้ยังไง หว้าไม่เรียนต่อ…จนกว่าหว้าจะช่วยยายหาเงินมาใช้หนี้ทั้งหมดของแม่ได้”
“ถ้าแบบนั้น แล้วแกจะได้เรียนเหรอ”
“ถึงไม่ได้เรียน ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าปล่อยให้ยายต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว” ลูกหว้าเอ่ยด้วยน้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมา เธอเองก็รู้สึกจุกอยู่ภายในไม่น้อย ขณะที่ยุพินเองก็เจ็บปวดอยู่เช่นกัน เธออยากให้หลานสาวได้เรียนต่อ ได้มีชีวิตที่ดี
แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมันยากเย็นไปหมดจากสิ่งที่ลูกสาวของเธอได้ก่อเอาไว้
คนที่จากไปสบายแล้ว เหลือแต่คนที่ยังอยู่ที่จะต้องดิ้นรนชดใช้แทนในสิ่งที่อีกคนทำไว้ต่อไป…
“ยายนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หว้าซื้อครีมมาให้” พูดจบ ลูกหว้าก็ล้มตัวลงนอนด้านข้างยายตัวเองพลางหันหลังให้หญิงสูงวัยอย่างไม่ต้องการให้อีกคนเห็นน้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ แต่ว่า…มันก็ยากซะเหลือเกิน
วันต่อมา…
ตึก
ตึก
เสียงสองเท้าเล็กของหญิงสาวที่ออกไปตลาดกับน้ำฝนแต่เช้าเพื่อตั้งใจไปซื้อครีมทาผิวมาให้กับยายตัวเอง แน่นอนว่าน้ำฝนที่เห็นก็รู้สึกเอ็นดูรุ่นน้องตัวเล็กที่ดูจิตใจดีรักยายของเธอเป็นอย่างมาก
“ยายพินชอบทายี่ห้อนี้เหรอ”
“ค่ะ หว้าชอบซื้อยี่ห้อนี้ให้ใช้ ความชุ่มชื้นสูงค่ะ เหมาะกับผิวแห้งง่ายแบบยาย”
“ดีจัง ว่าแต่…เราเองก็ทาครีมใช่ไหม ทาของอะไรเหรอ พี่ถามได้ไหม ผิวเรานุ่มมากเลย”
“ของxxxค่ะ หว้าชอบทาก่อนนอน”
“ดีอะ เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อมาใช้บ้างดีกว่า”
“…” ลูกหว้าก็ยกยิ้มตอบกลับรุ่นพี่สาวด้วยท่าทีสดใส ๆ เป็นกันเอง ซึ่งขณะที่สองสาวกำลังเดินช่วยกันถือของกลับไปยังรถคันหรูที่จอดรอรับอยู่
“เขาให้คนรถมารับส่งเราแบบนี้เลยเหรอคะ” เสียงลูกหว้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“อืม คันนี้เอาไว้สำหรับให้คนแบบเรา ๆ ใช้”
“ใจดีจัง” คำพูดไม่รู้ประสาที่หลุดออกมาจากเรียวปากสีหวานทำเอาน้ำฝนที่ได้ยินชะงัก
“ว่าไงนะ เมื่อกี้…เราพูดว่าอะไรนะ”
“คะ? เอ่อ…ใจดีจังค่ะ”
“เจอสถานการณ์เมื่อวานไป ยังบอกว่าใจดีลงอีกเหรอ”
“สถานการณ์เมื่อวานเหรอคะ?”
“อืม ไม่เห็นหรือไงว่าพวกเขาดูไม่เหมือนครอบครัวกันเลย เคยดูแต่ในทีวีตอนเด็ก ไม่คิดเลยว่าบ้านคนรวยจะเป็นแบบนี้กันจริง ๆ”
“ยังไงเหรอคะ” ลูกหว้ายังคงไม่ค่อยเข้าใจ ทำให้น้ำฝนที่เป็นขาเล่าเรื่องอยู่แล้วอดไม่ได้
“เพราะไว้ใจเราหรอกนะพี่ถึงเล่า…”
“…พี่เข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่อายุสิบห้า จนตอนนี้พี่อายุสามสิบแล้ว เชื่อไหม ในละครอะ เด็ก ๆ ไปเลย เริ่มที่คุณแมธธิวเลยแล้วกัน เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ตอนนี้เข้าขั้นมหาเศรษฐีและคนทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของประเทศเราเลยก็ว่าได้ ท่านเก่งและมีหัวการค้ามาก ๆ ส่งออกสินค้าไปแทบจะทั่วโลกแล้ว โซนเอเชียเนี่ยครอบคลุมไปหมด พี่รู้เพราะตามข่าวอยู่ตลอด ส่วนคุณธัญญาก็คือตระกูลผู้ดีเก่า ที่บ้านนั้นทำธุรกิจเรื่องการศึกษา รู้จักมหาวิทยาลัยควินตันไหม”
“ค่ะ”
“อันนั้นแหละของคุณเขา มันไม่ใช่แค่นั้น แต่มีหลายธุรกิจอีกมากมายที่บรรดาตระกูลคุณธัญญาเขาทำ ขึ้นชื่อในไทยทั้งหมด ตระกูลใหญ่ จนสองตระกูลมารวมกัน”
“คะ?”
“ก็แต่งงานกันไง การแต่งงานของคุณแมธธิวกับคุณธัญญา ใครก็รู้ว่าเพราะต้องการดองกันทั้งนั้น เขาไม่ได้แต่งกันด้วยความรัก”
“แต่เขามีคุณชายนี่คะ”
“ก็นั่นไง แค่ต้องการมีทายาทมาสืบทอดบารมีที่สะสมกันไว้ก็เท่านั้น พอมีคุณชายอีริค พวกท่านก็ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตและหน้าที่ของตัวเอง พี่ทำงานมานะ ไม่เคยเจอพวกท่านสวีตหรือเหมือนคู่รักทั่วไปกันเลยสักครั้ง ขนาดนอน ก็ยังนอนแยกห้องกันเลย เวลาออกสื่อเท่านั้นที่จะทำเหมือนว่ารักกัน ครอบครัวอบอุ่น คุณอีริคนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เขาถึงได้เป็นพวกดูไม่ค่อยเอาใคร ดูดุ ดูนิ่ง ดูเงียบ ก็เพราะว่าต้องคอยแบกรับหน้าที่การเป็นทายาทของพ่อแม่ของตัวเองแบบนี้ไง ไม่เคยได้เป็นตัวเองเลยสักครั้ง เกิดเป็นคนรวยก็ใช่ว่าจะดี แต่ก็นะ ถ้าเกิดได้…พี่ก็อยากเกิดมารวยแบบพวกเขาอยู่เหมือนกัน ฮ่า ๆ” น้ำฝนเอ่ยด้วยท่าทีติดตลกไปตามประสาของตัวเอง ขณะที่ลูกหว้าได้ยินก็ทำให้คิด
คนเราไม่ว่าจะเกิดมาจนหรือรวย ก็ต่างมีความทุกข์ที่ต้องพบเจอกันได้ทั้งนั้นสินะ…
“เสร็จกันหรือยัง” เสียงคนขับรถวัยกลางคนถามสองสาวขึ้น
“เสร็จแล้วจ้า” น้ำฝนจึงตอบกลับพร้อมกับทั้งสองที่พากันเดินขึ้นรถหรูตรงกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ด้วยความรวดเร็ว โดยใช้เวลาไม่นานรถก็ถูกขับเข้าไปจอดยังโรงจอดรถที่ไว้สำหรับแม่บ้านพ่อบ้านเท่านั้น ทว่าขณะที่ลูกหว้ากับน้ำฝนกำลังเดินลงจากรถ
“โอ๊ย!” อยู่ ๆ น้ำฝนก็เอ่ยขึ้นพลางสะดุ้งเฮือก ทำเอาลูกหว้าที่ได้ยินหันมอง
“ลูกหว้า ถือที่เหลือไปคนเดียวไหวไหม ข้าศึกกำลังบุกพี่มาแล้ว!”
“ได้ค่ะ ไหวค่ะ พี่รีบไปเถอะค่ะ หว้าถือได้ค่ะ”
“ถ้างั้นพี่ฝากด้วยนะ ไม่ไหวแล้ว” พูดจบ น้ำฝนก็รีบยกในส่วนเท่าที่ได้ออกไป โดยลูกหว้าเองก็ยกของที่เหลือไปตามประสาด้วยท่าทีมีความเก้กังเล็กน้อยกับถุงถุงหนึ่งที่มะเขือเทศลูกหนาใหญ่ทำท่าจะร่วงหล่น
“อย่าเพิ่งนะ” ปากเล็กพึมพำภาวนา เพราะอีกไม่เท่าไรก็จะถึงแล้ว ทว่า…
“อ๊ะ!” สุดท้ายมะเขือเทศลูกนั้นก็ไม่เป็นใจให้กับลูกหว้า มันร่วงหล่นไปบนพื้นพลางกลิ้ง ๆ ไปให้ร่างเล็กวิ่งไล่ตาม
พรึบ!
กระทั่ง…มันได้ไปหยุดอยู่บริเวณปลายรองเท้าหนังราคาแพงของใครบางคนเข้า
ลูกหว้าชะงักไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองยังร่างสูงที่ยืนอยู่ ส่งผลให้สายตาของเธอปะทะเข้ากับดวงตาคมกริบนัยน์ตาคมสีเทานั้นฉายออกมาถึงความเย็นชาเข้าอีกครั้ง ซึ่งก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนที่คุณชายหน้านิ่งจะผละสายตาเมินคนตัวเล็กก้าวเท้าเดินผ่านหญิงสาวไปด้วยใบหน้าราบเรียบเหมือนทุกครั้ง โดยที่ลูกหว้าเองก็ลอบพ่นลมหายใจออกมาด้วยมีความเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยทุกครั้งที่ได้สบสายตากับคุณชายดูเย็นชาไร้ความรู้สึกใด ๆ คนนี้…