การที่ได้เห็นคาแลนเก็บทุกอย่างของฉันเอาไว้เหมือนเดิมแบบนี้มันยิ่งชาหนึบในใจ เขาไม่เคยลืมทุกเรื่องราวของเราเลย ทำไมถึงยังจมปลักทั้งที่ฉันทำให้เจ็บปวดขนาดนั้น
“ฉันแค่เก็บทุกอย่างเอาไว้เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าโง่ไปรักใครมากกว่าตัวเองอีก”
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เข้าใจในสิ่งที่คาแลนพ่นมันออกมา ยินดีให้เขาเกลียดโดยไม่มีคำแก้ตัวใดๆ
“ดีแล้วค่ะ คุณต้องรักตัวเองให้มากๆ”
“หึ แล้วเธอล่ะยังเก็บของสำคัญของฉันเอาไว้รึเปล่า หรือทิ้งมันไปแล้ว”
“ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้คืนให้ เดี๋ยวฉันจะรีบนำมันมาคืนให้คุณ แต่คงต้องขอเวลาหาก่อนเพราะไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน”
ของสำคัญที่ว่ามันคือสร้อยรูปเสี้ยวพระจันทร์ เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลของคาแลน แน่นอนว่าฉันยังเก็บมันเอาไว้อย่างดีและหยิบมันขึ้นมาอยู่บ่อยๆ ยามคิดถึง แต่ไม่เคยกล้าจะสวมใส่มันสักครั้งเพราะความรู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับมันอีกแล้ว
“มาคุยเรื่องการเซ็นเอกสารกันดีไหมคะ”
“อืม”
ร่างหนาเดินออกจากห้อง ส่วนฉันก็มองทุกอย่างที่เป็นความทรงจำของเราอีกครั้งและย้ำเตือนกับตัวเองว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว ก่อนจะเดินตามมายังโซฟาตัวเดิม
“นี่สัญญาการค้าค่ะ หากไม่พอใจในข้อเสนอก็แจ้งมาได้เลยฉันจะลองคุยกับคุณมาลิคให้” ฉันยื่นเอกสารแผ่นสีขาวให้คาแลน แต่สายตาคู่นั้นกลับไม่ได้มองมันเลย เขาเอาแต่มองหน้าฉัน…อีกแล้ว
“รู้จักกับมันนานหรือยัง”
“ขอคุยแค่เรื่องงานนะคะ” ฉันพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ แต่เหมือนยิ่งถูกคนตรงหน้าสงสัย
“ทำงานให้มันตั้งแต่เมื่อไร”
“คุณคาแลนคะช่วยอ่านเอกสารด้วยค่ะ”
เมื่อฉันไม่ยอมตอบเขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาไม่ยอมหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน
“ขึ้นมานั่งบนตักแล้วอ่านฉันฉันฟังสิ”
“มันคงไม่เหมาะสม”
“ถือตัวจังเลยนะ ทำเหมือนคนไม่เคยเอากันไปได้”
“………”
“ถ้าไม่ทำตามที่ฉันต้องการก็เก็บเอกสารของเธอแล้วออกไปจากห้องนี้ซะ”
หากไม่มีอาการป่วยของน้องสาวเข้ามาเกี่ยวข้องฉันคงดีใจที่ได้ยินเขาบอกแบบนี้ แต่ถ้าคาแลนไม่เซ็นมิลลี่จะแย่แน่ๆ
ในที่สุดฉันก็เลือกทำตามความต้องการของผู้ชายตรงหน้าโดยการยืนขึ้นแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าของคาแลนที่ยังคงมองด้วยสายตาที่เย็นชา เมื่อหย่อนก้นนั่งลงบนตักก็ถูกวงแขนแกร่งโอบรัดเอาไว้ทันที
ใบหน้าคมคายขยับมาใกล้ๆ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบจนฉันกลัว กลัวว่าคาแลนจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวของตัวเอง
“ขยับออกไปหน่อยได้ไหมคะฉันอ่านไม่ถนัด”
ไร้เสียงตอบกลับแต่เขาก็ยอมผละตัวกลับไปอิงแผ่นหลังที่โซฟาเหมือนเดิม จากนั้นฉันก็เริ่มอ่านรายละเอียดที่ถูกพิมพ์ลงมาบนกระดาษทุกตัวอักษร
ขณะที่อ่านก็ถูกฝ่ามือหนาลากไล้สัมผัสตามตัวจนทำให้แทบไม่มีสมาธิ ใบหน้าที่เคยอยู่ห่างค่อยๆ เคลื่อนมาใกล้ๆ อีกครั้ง จนเสียงที่อ่านเอกสารอยู่ขาดหายไป
เอกสารในมือถูกดึงออก ราวกับถูกสะกดให้นิ่งขณะที่ใบหน้าคมคายเลื่อนมาใกล้จนปลายจมูกโด่งแตะลงมาบนพวงแก้ม
ปลายคางของฉันถูกจับให้เงยหน้าขึ้นมาในระดับเดียวกัน ขณะที่ริมฝีปากหนากำลังจะประกบลงมาก็รีบเอนตัวหนี
“ยะ อย่าค่ะ”
“สอนฉันทีว่าต้องทำยังไงถึงจะลืมเรื่องราวทั้งหมดได้”
อย่าพูดมันออกมาอีกเลยได้โปรด
“ทำยังไงฉันถึงจะลบเธอออกไปได้”
อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น
“ต้องทำยังไงมิลา ต่อให้เกลียดแค่ไหนในความทรงจำของฉันมันก็ยังมีเธออยู่ข้างในนั้น”
อย่าเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกเลย
“ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดที่เธอทำได้เลย ยิ่งเห็นว่าตอนนี้เธอกลายเป็นคนของไอ้มาลิค ฉันยิ่งเกลียด แต่ความเกลียดนั้นมันทำให้ฉันเจ็บปวด”
ขอโทษที่มิลาทำให้เฮียต้องเจ็บปวดขนาดนี้
แววตาที่ถูกความเจ็บปวดกัดกินจนว่างเปล่าคู่นั้นทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบไหว ทุกคำพูดที่คาแลนเอ่ยมาฉันสัมผัสได้ว่าเขาทรมานขนาดไหน
“พูดมาสิว่าอยากกลับมา ถ้าเธอยอมเลือกฉัน ฉันจะลืมทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเริ่มต้นมันใหม่อีกครั้ง”
“………” ฉันเม้มริมฝีปากแน่นไร้คำตอบ
“ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ แต่ในเมื่อเลือกที่จะอยู่ข้างมันก็อย่ามาว่าฉันใจร้าย”
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นความเจ็บปวดของฉัน”
คาแลนผลักตัวฉันออกก่อนที่เขาจะหยิบเอกสารมาเซ็นแล้วปามันมาใส่หน้าของฉัน แววตาที่เคยเศร้าหมองและว่างเปล่าเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งด้วยความแค้น
“ไสหัวกลับไปซะ” ฉันก้มลงเก็บเอกสารไม่ทันได้ระวังตัวถูกฝ่ามือหนาคว้ามาบีบที่ปลายคางแน่นจนต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ “ฝากบอกเจ้านายของเธอด้วยว่าฉันไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่ามันคิดทำเรื่องสกปรกอะไร”