เมื่อได้ยินปลายสายพูดแบบนั้นหัวใจดวงน้อยของฉันก็พลันเต้นรัว
“มะ มันคงไม่ดีนะคะถ้าทำแบบนั้น”
( ไม่บังคับ แต่ถ้าอยากให้เซ็นก็มาที่คอนโดฉัน )
จบประโยคนั้นสายก็ถูกตัดไป แต่สมองของฉันมันยังคิดวนเวียนแต่คำๆ นั้น
“พี่มิลาคุยกับใครคะสีหน้าไม่ดีเลย” เสียงมิลลี่เรียกสติของฉันให้กลับมา “คุณมาลิคหรือเปล่าคะ เขาข่มขู่อะไรอีก”
“ไม่มีอะไรมินลี่ไม่ต้องคิดมากนะเดี๋ยวอาการกำเริบ”
“เราไม่มีทางหนีจากเขาได้เลยหรอพี่มิลา”
“ไม่หรอก เพราะพี่เลือกผิดเอง”
“พี่คาแลนช่วยเราได้ไหม มินว่าพี่มิลาบอกความจริงแล้วขอให้พี่คาแลนช่วยดีไหมคะ”
“พี่ไม่อยากทำให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากดึงเขามาเจ็บปวดอีกแล้ว”
“มินก็ไม่อยากเห็นพี่มิลาเจ็บปวดอีกแล้วเหมือนกัน” ฉันลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดูและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
ฉันใช้เวลาคิดทบทวนทั้งคืนเรื่องที่คาแลนบอกให้ไปหาที่คอนโดถึงจะยอมเซ็นเอกสาร แถมยังถูกมาลิคขู่ว่าถ้ายังทำให้คาแลนเซ็นเอกสารไม่ได้จะไม่ให้ยา มินลี่ขาดยาไม่ได้ ถ้าไม่ได้ยาอาการน้องจะทรุด
เช้าวันต่อมา หลังจากตื่นอาบน้ำแต่งตัวเห็นมินลี่ยังไม่ตื่นฉันจึงมาหาน้องที่ห้อง เมื่อเห็นว่าเธอนอนซมเหมือนคนหมดแรงภายในใจก็เกิดความกลัว ยาที่มีอยู่มันหมดแล้ว แน่นอนว่ายังไงวันนี้ฉันก็ต้องทำให้คาแลนเซ็นเอกสารให้ได้
“รอก่อนนะมิน เดี๋ยวตอนเย็นพี่เอายามาให้” ฉันนั่งลงพร้อมลูบหัวน้องสาว
“มินไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วพี่มิลา” มินลี่เอ่ยเสียงแผ่ว คำพูดเบาๆ ของน้องสาวมันทำให้ฉันเจ็บปวดและหนักอึ้งภายในใจ “ถ้าการมีชีวิตอยู่ของมินต้องแลกกับความเจ็บปวดของพี่มิลาก็ปล่อยมินไปเถอะนะคะ”
“อย่าพูดแบบนี้ได้ไหม พี่เหลือแค่มินนะอย่าทิ้งพี่ไปไหนเลย” ฉันจูบลงบนหน้าผากของน้องสาวก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลอาบแก้ม
“ถ้าไม่มีมินพี่มิลาก็ไม่ต้องทำตามคำสั่งของเขา ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะนะคะ”
“ไม่เอามินไม่พูดแบบนี้ ตอนเย็นพี่จะเอายามาให้นอนพักนะ”
ฉันเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องแล้วโทรออกหาคาแลน ไม่นานเขาก็รับสาย
( ตัดสินใจได้หรือยัง ) นี่คือคำถามแรกเมื่อเขารับสายของฉัน
“นัดเซ็นเอกสารที่คอนโดของคุณใช่ไหมคะ ฉันกำลังจะไป”
( เลือกได้ดี รีบมาฉันกำลังรอเธออยู่ )
หลังจากวางสายของคาแลนฉันก็โทรบอกมาลิคว่าให้เตรียมยาไว้ วันนี้คาแลนจะเซ็นเอกสารอย่างที่เขาต้องการแน่นอน
คนของมาลิคขับรถมาส่งฉันที่คอนโดของคาแลน และรอจนกว่าจะลงมา แน่นอนว่าเขาทำตามคำสั่งของเจ้านายมาลิคก็รู้ว่านัดเซ็นเอกสารที่ไหน
ขึ้นลิฟต์มาชั้นบนสุดของตึกสูงเฉียดฟ้า เมื่อลิฟต์เปิดออกลูกน้องของคาแลนก็นำทางไปยังห้องของเจ้านายเขา ชั้นนี้มีแค่ห้องเดียวเป็นส่วนตัวและระบบความปลอดภัยแน่นมากๆ ที่ฉันรู้ก็เพราะเมื่อก่อนเคยพักอยู่ที่นี่ไม่คิดว่าคาแลนจะยังอยู่ที่เดิม
เมื่อมาหยุดยืนที่หน้าห้องลูกน้องของคาแลนก็โทรบอกเจ้านายว่าฉันมาแล้วและประตูมันต้องใช้รหัส พอวางสายเขาก็หันมามองฉันเหมือนมีคำถามในใจมากมายก่อนจะพูด
“นายบอกว่าคุณรู้รหัสผ่าน”
“……….” ฉันกัดริมฝีปากแน่นจนเกิดสีช้ำ ก่อนจะยกมือที่สั่นเทาขึ้นมากดรหัสที่เคยเป็นวันครบรอบของเรา
และใช่เขายังใช้รหัสเดิมจริงๆ
“เข้ามา”
เสียงทุ้มเอ่ยออกคำสั่งทำให้ฉันที่ยืนนิ่งหน้าประตูสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อข่มความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้แล้วก้าวขาเข้ามาในห้อง
“ไม่คิดว่าเธอจะยังจำรหัสได้”
“เอกสารที่จะต้องเซ็นค่ะ คุณคาแลนอ่านก่อนนะคะถ้าติดที่ตรงไหนถามฉันได้เลยค่ะ” ฉันพยายามพูดอย่างเป็นทางการและหลบสายตาคนที่เอาแต่จ้องหน้า
“ห้องของเรา….อยากเห็นมันอีกครั้งไหม”
“………” ราวกับถูกทิ่มแทงกลางอกข้างซ้ายซ้ำๆ คำถามนั้นมันทำให้คนฟังอย่างฉันเจ็บปวด
“ฉันมาที่นี่เพื่อเอาเอกสารมาให้เซ็นเท่านั้นค่ะ”
“ตามมาสิ” ร่างสูงหยัดตัวขึ้นยืน จากนั้นก็เดินนำไปยังห้องนอนที่เคยเป็นรังรักของเราสองคน
เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องกัดริมฝีปากแน่นมันสั่นเทาไปทั้งตัวเมื่อได้เห็นข้าวของต่างๆ ภายในห้อง
เสื้อผ้า เครื่องแต่งหน้า ตุ๊กตาตัวโปรด ทุกอย่างที่เป็นของฉันมันยังถูกวางไว้ที่เดิมถึงแม้จะผ่านไปแล้วห้าปี