บทนำ
บทนำ
เสียงพูดคุยแจ้วจ้าวของเด็กปฐมวัยเงียบสงบลงเมื่อถึงเวลานอนกลางวัน สุพรรณวดีซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเด็กอนุบาลหนึ่งทับสองเดินตรวจตราการนอนของเด็กน้อยที่อยู่ในความดูแลของตน ใบหน้าสวยระบายยิ้มพร้อมส่ายไปมาเบา ๆ ด้วยความอ่อนใจระคนเอ็นดูเมื่อเห็นว่าเจ้าแสบทุกคนหลับสนิทกันหมดแล้ว
“หมดฤทธิ์กันแล้วสินะ” คุณครูยังสาวเอ่ยเบา ๆ พลางยอบตัวนั่งลงดึงกระโปรงและจัดท่าทางการนอนให้เด็กหญิงคนหนึ่ง จากนั้นก็ยืดตัวลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานซึ่งอยู่มุมข้างประตูห้อง เพื่อเตรียมสมุดการบ้านให้เด็กน้อยทั้งหลายเอากลับไปทำที่บ้านเย็นนี้
“เอยจ๋า เด็ก ๆ หลับหมดแล้วหรือจ้ะ”
ดวงหน้าสวยหวานเงยขึ้นไปมองทางประตูฝั่งซ้ายมือของตน หลังได้ยินเสียงของรุ่นพี่สาวอย่างมัลลิกากระซิบถามพร้อมกับเยี่ยมหน้าเข้ามา สุพรรณวดีส่งยิ้มให้ก่อนจะลุกเดินออกไปคุยที่หน้าห้องเรียนเพราะกลัวเสียงจะไปรบกวนการนอนของเด็ก ๆ
“หลับกันไปได้สักพักแล้วค่ะ ห้องพี่มะลิหลับหมดยังคะ”
“หลับแล้ว แต่วันนี้เด็ก ๆ ซนกันมาก เพิ่งจะหมดฤทธิ์กันไปเมื่อกี้นี้เอง พี่ล่ะเพลียจริง ๆ” เด็กในความดูแลของมัลลิกานั้นอยู่ชั้นอนุบาลสาม ด้วยความที่เด็กนั้นสนิทสนมกันมานาน จึงทำให้มีระดับความแสบและซนมากกว่าเด็กชั้นอนุบาลหนึ่ง “แต่ดีนะที่วันนี้ไม่มีใครก่อเรื่องอะไร ไม่งั้นพี่ต้องไมเกรนขึ้นแน่ ๆ”
สุพรรณวดียิ้มขำ ด้วยเข้าใจดีว่าการดูแลเด็กในวัยนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วยิ่งเป็นเด็กที่ไม่ใช่ลูกหรือหลานของตน การจะทำอะไรหรือสั่งสอนอะไรให้แก่เด็กนั้นต้องใจเย็น รอบคอบ รัดกุม ต้องผ่านกระบวนการคิดและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนเสมอทุกครั้ง เพราะหากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลเสียเป็นวงกว้างได้
“แต่พี่มะลิก็เก่งนะคะ จัดการเด็ก ๆ ได้ทุกครั้งเลย” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยชมด้วยความจริงใจ และนับถือในความสามารถของมัลลิกา
“โอ๊ย...พี่เจอมาเยอะ เจอมาหมดทุกรูปแบบแล้ว” สาวใหญ่โบกมือไปมากลางอากาศเพื่อกลบอาการเขินหลังถูกชม
“ก็นั่นแหละค่ะ เพราะพี่มะลิมีประสบการณ์ไงคะถึงจัดการทุกสถานการณ์”
“พอ ๆ หยุดชมพี่ได้แล้ว” มัลลิกาบอกปัดอีกครั้ง แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวเพราะความเขินไปมากกว่านี้ “ว่าแต่เอยได้กินข้าวเที่ยงหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ เอยว่าเตรียมการบ้านให้เด็ก ๆ เสร็จก่อนแล้วค่อยจะกิน พี่มะลิล่ะคะกินหรือยัง”
“ยังเหมือนกัน มัวแต่วุ่นอยู่กับเด็ก ๆ กว่าจะยอมหลับยอมนอนกัน เอ้อ แล้วเอยมีข้าวยัง”
“มีแล้วค่ะ”
“ห่อมาจากบ้าน ?” มัลลิกาถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว
“ใช่ค่ะ” สุพรรณวดีพยักหน้ารับยิ้ม ๆ เพราะเธอมักจะทำข้าวกล่องจากบ้านมารับประทานตอนกลางวันเกือบทุกวัน สาเหตุเพราะอร่อยถูกปากและประหยัด อีกทั้งยังไม่ต้องมานั่งคิดให้ปวดหัวอีกว่าวันนี้จะกินอะไรดี
“แล้วเย็นนี้ต้องไปสอนพิเศษที่บ้านเด็ก ๆ อีกไหมเนี่ย” สาวใหญ่ถามต่อ
“ไปเหมือนเดิมค่ะ วันนี้มีสอนสองบ้าน”
“หืม สองบ้านเลยเหรอ เยอะไปไหมเอย แล้วเอาเวลาไหนพักผ่อน” มัลลิกาถามด้วยความเป็นห่วง ถึงหล่อนจะรู้ดีว่าสุพรรณวดีมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่หล่อนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยหากรุ่นน้องสาวจะโหมทำงานหนักขนาดนี้ หากก็พูดอะไรมากไม่ได้ ได้แต่คอยดู คอยถามอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง “แล้วบ้านของเด็กทั้งสองคนอยู่ไกลกันมากไหม”
“ก็ประมาณสามหรือสี่กิโลได้ค่ะ...” หญิงสาวบอกพิกัดบ้านนักเรียนทั้งสองคนไป “ไม่ไกลเท่าไร”
“ไม่ไกล แต่ถนนเส้นนั้นรถติดมากนะ ตั้งกี่แยกไม่รู้มารวมกันที่เส้นนั้นเส้นเดียว”
สุพรรณวดีได้แต่ยิ้มเหย ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะมันคือเรื่องจริง การสอนพิเศษเด็กนักเรียนบ้านละหนึ่งชั่วโมงไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แต่การเดินทางนี่สิ เป็นสิ่งที่เธอต้องวางแผนและควบคุมมันให้ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการจราจรในกรุงเทพมหานครในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ทุกคนต่างแย่งกันใช้ถนน เพื่อให้ถึงจุดหมายของตนให้เร็วที่สุด
“พี่บอกให้ดาวน์รถสักคันก็ไม่เชื่อพี่ เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อย” สาวใหญ่บอกระคนบ่นด้วยความปรารถนาดี เรื่องการจราจรนั้นเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่การมีรถส่วนตัวเป็นของตัวเองอย่างไรก็ย่อมดีกว่า “อีกอย่างเป็นผู้หญิงเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย แล้วยังต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ อีก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“เอยคิดว่ารถมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้น เอามาก็มีแต่จะเป็นภาระเพิ่ม” หญิงสาวพูดความคิดในมุมของตัวเองออกไป เพราะการซื้อรถสักคันมันไม่จบที่การจ่ายเงินเพียงครั้งเดียวแน่นอน นอกจากการผ่อนชำระรายเดือนแล้ว มันยังมีค่าใช้จ่ายนู่นค่านี่ตามมาอีกมากมาย ซึ่งเธอยังไม่พร้อมที่จะแบกรับภาระพวกนั้น “ทุกวันนี้เอยใช้รถสาธารณะก็สะดวกดีนะคะ ชั่วโมงเร่งด่วนก็ใช้รถไฟฟ้า แพงนิดหน่อย แต่ก็ควบคุมเวลาได้”
“เฮ้อ...ถ้าเอยยืนยันมาแบบนั้น พี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว แต่ที่พี่บอกคือพี่หวังดีนะ”
“เอยรู้ค่ะ” สุพรรณวดียิ้มรับ ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด เพราะเธอรู้ดีว่าที่มัลลิกาแนะนำนั้นเพราะเป็นห่วงและหวังดีกับเธอจริง ๆ “แต่เอยยังไม่พร้อมจะรับภาระเรื่องรถจริง ๆ ค่ะพี่มะลิ ทุกวันนี้เงินเดือนที่ได้ หักค่าใช้จ่ายแล้วก็เหลือเก็บนิดหน่อย ดีที่ยังได้เพิ่มจากการสอนพิเศษหลังเลิกเรียน”
มัลลิกาพยักหน้ารับ ด้วยรู้ว่าเงินเดือนครูปฐมวัยไม่ได้สูง ถึงจะเป็นโรงเรียนนานาชาติแต่ก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไรขนาดนั้น ถ้าเทียบกับค่าครองชีพก็คือพอ ๆ กัน หากไม่หางานเสริมทำเพิ่มก็คงไม่เหลือเก็บเลย
“แล้วนี่จะบินไปนู้นอีกทีเดือนไหน” สาวใหญ่เปลี่ยนเรื่องคุย ถึงแม้จะทำงานที่โรงเรียนเดียวกันแต่ก็ไม่ได้คุยกันบ่อย เนื่องจากต่างคนต่างมีงานทำ อีกทั้งยังต้องคอยสอดส่องเด็กในความดูแลอยู่ตลอดเวลา จะแอบอู้หรือแวบมาคุยได้เล็กน้อยแค่เฉพาะตอนที่เด็กหลับเท่านั้น
“ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ ใจจริงเอยก็อยากบินเดือนหน้าเลย แต่ก็ต้องลองคำนวณเงินเก็บที่มีก่อน ไม่รู้ว่าจะพอไหม กลัวไปแล้วเป็นเหมือนคราวที่แล้วที่ต้องโทร. ข้ามประเทศมาขอยืมเงินพี่มะลิ”
“นี่ พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ” มัลลิกาขยับเข้าไปใกล้รุ่นน้องสาวอีกนิด พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบาลงจากเดิม ก่อนจะจะเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ทำสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยคล้ายกำลังหนักใจ ไม่แน่ใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าถ้าถามออกไปแล้วจะกระทบต่อจิตใจของอีกฝ่ายหรือเปล่า แต่สุดท้ายสาวใหญ่ก็ทนความสงสัยของตนเองไม่ไหว จึงตัดสินใจถามออกไปในที่สุด
“อย่าว่าพี่อย่านั้นอย่างนี้เลยนะเอย ทุกครั้งที่เอยบินไปฝรั่งเศส เอยได้เจอ...เอ่อ...เจอลูกบ้างไหม” ที่สงสัยอย่างนี้ก็เพราะว่าหลังจากที่หญิงสาวกลับมา หล่อนไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าเรื่องลูกให้ฟังเลย ทั้ง ๆ ที่จุดประสงค์ของการบินไปที่นั่นก็เพื่อไปหาลูก