“เฮ้ย พวกมึง ตื่น ๆ”
ผมใช้ปลายเท้าเขี่ยไอ้เข้มที่มันนอนขดกอดขวดเหล้าอยู่บนเตียงน้ำลายก็ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว เห็นแล้วก็อุบาทว์ลูกตาสิ้นดี
“อื้ออ~ ขอนอนแป๊บนึงนะลูกพี่ เพิ่งได้นอนตอนตีห้าเอง”
มันต่อรองขณะที่ยังไม่ลืมตาตื่น
“พวกมึงนี่มันจริง ๆ เลยนะ กูบอกว่าอย่าดื่มเยอะ วันนี้ต้องมาทาสีบ้านต่อ”
ผมต่อว่าพวกมันอย่างเอือมระอา
“ยังทาไม่ได้หรอกลูกพี่ เรายังไม่ได้ซื้ออุปกรณ์ทาสีเพิ่มเลย”
ไอ้บอมเอ่ยขึ้นขณะที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว
นี่พวกมึงถึงกับหอบหมอนหอบผ้าห่มลงมากินเหล้าเลยหรอวะ พวกมึงนี่มัน ขี้เหล้าเข้าสันดานจริง ๆ
“มีอะไรที่ยังไม่ซื้อ”
“เยอะแยะเลยลูกพี่ หลัก ๆ ก็สีนี่แหละ ผมจดไว้อยู่บนโต๊ะน่ะ”
ผมเห็นสภาพพวกมันแล้วอยากจะสาดน้ำให้สร่างเมา แต่ก็ทำได้แค่ส่ายหน้าด้วยความละเหี่ยใจ
“ลูกพี่ จะไปไหนน่ะ”
ไอ้บอมชะโงกหน้าขึ้นมาพร้อมกับตะโกนถามไล่หลังขณะที่มันมองเห็นผมถือกุญแจรถออกจากบ้าน
“ไปซื้อของสิวะ รึมึงจะไป”
“แฮะ ๆ ผมก็อยากไปหรอกนะลูกพี่ แต่ไม่ไหวจริง ๆ ขับรถดีน้าาา~”
มันว่าก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวอีกครั้งพร้อมกับหลับตาพริ้ม
ให้มันได้อย่างงี้สิวะ สรุปใครเป็นลูกพี่ใครเป็นลูกน้องวะเนี่ย!
ผมเดินออกมาสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าคร่ำครึพร้อมกับบิดแฮนรถจนควันโขมงไปทั่วบริเวณบึ่งตรงมาที่ตลาด ระหว่างทางก็แวะทักทายชาวบ้านไปเรื่อย
ถือซะว่าเป็นวันพบปะชาวบ้านละกัน นาน ๆ ทีจะได้ออกมาเปิดหูเปิดตา
“เอ้าอัถ ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่”
เสียงลุงโกเอ่ยถามหลังจากที่ผมก้าวขาลงจากรถ
“มาซื้อของไปทาสีบ้านน่ะลุง”
ผมว่าพร้อมกับยื่นกระดาษที่ไอ้บอมจดส่งให้ลุงโก
“แล้วไอ้เข้มไอ้บอมมันไปไหนล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้ลูกพี่มันมาคนเดียวได้”
“เมาหัวราน้ำยังไม่ฟื้นเลย”
“ไม่น่าล่ะ ไม่งั้นป่านนี้มันคงมาป่วนขอกินเหล้าฟรีแล้ว”
ลุงโกว่าไม่จริงจังนัก
“พี่อัถถถถ”
เสียงใส ๆ ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กมัดผมแกละตะโกนเรียกผมเสียงแหลมแปร๊ดก่อนจะวิ่งเข้ามากอดขา
“ไงตัวเล็ก ไม่เจอกันนานอ้วนขึ้นปะเนี่ย”
“ชูวว!! เขาไม่เรียกอ้วนนะพี่อัถ เขาเรียกจ้ำม่ำ”
ผมส่ายหน้าด้วยความเอ็นดูก่อนจะย่อตัวลงไปบีบแก้มคนตรงหน้าอย่างมันเขี้ยวก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นแผลถลอกที่แขนเป็นทางยาว
“แก้วตา ไปโดนอะไรมาเนี่ย ทำไมแขนเป็นอย่างงี้”
ผมรีบพลิกดูแขนผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าด้วยท่าทางตกใจ
“เมื่อวานแก้วตาไปเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนที่หน้าวัดค่ะ แก้วตากะว่าจะไปหลบที่พุ่มไม้ริมคลอง แต่พื้นมันลื่น แก้วตาเลยกลิ้งตกน้ำเลยค่ะ”
คนตัวเล็กพยายามอธิบายเป็นฉาก ๆ
“กลิ้งตกน้ำเลยหรอ?”
ผมตาเบิกโพลงเมื่อนึกภาพตาม ถ้าตกน้ำก็น่าใจหาย เพราะคลองหน้าวัดลึกจนหยั่งไม่ถึง
“ใช่ค่ะ โชคดีที่พี่สุดหล่อเขามาช่วยไว้ได้ทัน เขาเป็นฮีโร่ของหนูเลยนะคะ ไม่งั้นหนูตายไปแล้ว”
“หึหึ ขวัญเอ้ยขวัญมานะ ต่อไปนี้ก็อย่าซน อย่าไปเล่นใกล้แหล่งน้ำอีกเข้าใจมั้ยคะ มันอันตราย”
ผมลูบหัวปลอบใจคนตรงหน้า เด็กตัวแค่นี้ต้องมาจมน้ำคงเสียขวัญไม่น้อย
“เข้าใจค่ะ”
เด็กผู้หญิงพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างส่งให้ผม
“นั่นไง พี่ฮีโร่ของหนู”
แก้วตาทำตาโตก่อนจะผละออกจากผมแล้ววิ่งไปหาคนด้านหลัง
“ไงครับตัวเล็ก แผลเป็นไงบ้างให้พี่ดูซิ”
เสียงทุ้มที่คุ้นหูเอ่ยทักทายแก้วตาทำเอาผมหูผึ่ง
นี่ผมระแวงมันถึงกับขนาดหลอนเป็นเสียงมันแล้วหรอวะเนี่ย
“เอ้าคุณศิวะ มาเยี่ยมแก้วตาหรอครับ”
ลุงโกเดินถืออุปกรณ์ทาสีมาให้ผมพร้อมกับกล่าวทักทายคนด้านหลัง
ทั้งเสียงทั้งชื่อมาเต็มขนาดนี้ ผมคงไม่ได้หลอนไปเองแล้วล่ะ
ผมค่อย ๆ หันหน้าไปประจันกับผู้มาใหม่ด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายสุด ๆ
“ว้าวว!! วันนี้เป็นวันดีแฮะ สงสัยคงก้าวขาซ้ายออกจากบ้าน”
มันว่าพร้อมกับส่งยิ้มยียวนส้นตีนมาให้ผม
“เหอะ ถ้างั้นกูก็คงซวยก้าวขาขวาออกจากบ้านสินะ”
ผมว่าไม่สบอารมณ์
“พี่อัถ ๆ นี่ไงคะ พี่ฮีโร่ของหนู”
แก้วตาว่าพร้อมกับเดินไปกอดขาไอ้ศิวะอย่างสนิทสนม
“ไหนเมื่อก่อนบอกว่าพี่อัถคือฮีโร่คนเดียวของหนูไงคะ ทำไมตอนนี้ถึงยกตำแหน่งให้คนอื่นได้”
ผมว่าอย่างน้อยใจ
“โอ๋ ๆ พี่อัถอย่าน้อยใจนะคะ พี่อัถก็เป็นฮีโร่ของหนู พี่ศิวะก็เป็นฮีโร่ของหนู อย่าแย่งกันค่ะ”
แก้วตาว่าพร้อมเดินมาจับมือผมกับมือไอ้ศิวะไว้คนละข้าง
มันเองก็ส่งสายตายียวนมาจนผมอยากจะพุ่งหมัดใส่หน้ามันซักที
“อัถ อุปกรณ์ไม่ครบนะ ตัวไหนที่มีลุงขีดออกให้แล้ว อะนี่”
ลุงโกว่าพร้อมกับยื่นของในถุงมาให้
“แล้วที่เหลือผมจะซื้อได้จากไหนอะลุง”
ผมเอ่ยถามพร้อมกับควักเงินจ่าย
“อยู่ท้ายตลาดโน่นแหนะ แต่ต้องเดินเรียบตลาดไปนะ เขาไม่ให้ขับรถเข้า”
“โอเคเลย ผมว่าจะเดินดูของซักหน่อย งั้นฝากของไว้ก่อนนะลุง”
“ได้ ๆ”
ผมเดินแยกออกมาจากร้านลุงโกเดินเรียบตลาดมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ร้านขายของตกแต่งบ้าน
อันนี้มันคืออะไรวะเนี่ย หน้าตาแปลก ๆ แต่ก็สวยดี ผมเอื้อมมือไปจับวงกลมขนาดฝ่ามือที่ถูกตกแต่งด้วยขนนกอย่างสวยงาม
“เขาเรียกว่าตาข่ายดักฝันร้าย” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อใครซักคนกระซิบบอกผมที่ข้างหู
“มึงตามกูมาทำไม”
ผมมองไอ้ศิวะตาขวาง
“ใครบอกกูตามมึง กูก็มาซื้อของเหมือนกัน”
มันแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ
ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามึงจงใจตามมากวนประสาทกู ยังจะมาแก้ตัวอีก
“ชอบหรอ เห็นยืนดูตั้งนาน”
มันพยักพเยิดหน้าไปที่ตาข่ายวงกลมในมือผม
“ไหนบอกไม่ได้ตามกูมา แล้วรู้ได้ไงว่ากูยืนดูไอ้นี่อยู่นานสองนาน”
มันไม่ได้ตอบโต้อะไรเพียงแค่ไหวไหล่ด้วยท่าทางไม่ยี่หระพร้อมกับคว้าตาข่ายวงกลมในมือผมขึ้นไปดู
“เขาว่ากันว่าเอาไปห้อยที่หน้าประตูแล้วจะดักฝันร้ายได้”
“จะหลอกอะไรกูอีกล่ะ” มึงนี่นะ เห็นกูโง่หน่อยก็ขยันหลอกกูจัง
“กูพูดจริง ๆ” มันว่าด้วยท่าทางจริงจัง
“เหอะ เชื่อก็โง่”
ผมไม่ใส่ใจที่มันพูด รีบเดินต่อเรื่อย ๆ แต่ไอ้ศิวะมันก็ยังดื้อด้านเดินตามผมต้อย ๆ นี่มึงไม่มีการมีงานทำรึไงวะ
“ไอ้อัถ กินเปล่า” มันยื่นลูกชิ้นก้อนกลมมาตรงหน้า
“ไม่แดก!”
ผมว่าพร้อมกับปัดมือมันออกแต่มันก็ไม่ยอมละความพยายามง่าย ๆ ยังคงยื่นลูกชิ้นจ่อปากผมพร้อมกับส่งสายตาบังคับขู่เข็ญ
“ถ้ามึงไม่กินกูจะจ่อปากมึงไว้อย่างงี้ล่ะ”
มันว่าด้วยสีหน้าจริงจังจนผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหงุดหงิด
“งั้นเอามานี่ กูถือเอง”
“ไม่!! กูจะป้อน”
มันส่งสายตาดุส่งมาให้ผม
ไอ้นี่มันประสาทเปล่าวะ ตามมาวอแวอยู่ได้
“เร็วดิ”
ผมพูดเร่งพร้อมกับจ่อลูกชิ้นมาชิดปากผมกว่าเดิม
เออ!! แดกก็แดกวะ ผมตัดรำคาญหันซ้ายแลขวาเมื่อไม่เห็นใครอยู่แถวนี้จึงยอมงับลูกชิ้นที่จ่ออยู่ด้านหน้า
“หึหึ เก่งมากเด็กดี เอาอีกลูกเปล่า ระดับมึงอมได้สองลูกสบาย ๆ เลยนะกูว่า”
“ไอ้สัส!” ผมมองค้อนถีบขามันไปทีหนึ่งก่อนจะรีบเดินหาซื้อของต่อเรื่อย ๆ
“ไอ้อัถดูนี่”
“อะไรของมึงอีก”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับหันไปมองมันที่เดินมาตามหลังมาติด ๆ
“แบร่!!”
“ไอ้เหี้ย!!”
ผมสะดุ้งเฮือก เมื่อหันกลับมาเห็นผีพุ่งเข้าใส่หน้าอย่างจัง
“ฮ่า ๆ กลัวผีหรอวะ” ไอ้ศิวะถอดหน้ากากผีออกพร้อมกับหัวเราะลั่น
“ไอ้ห่า!! หัวใจจะวาย”
“รู้ถึงไหนอายถึงนั่น อันธพาลคุมเมืองกลัวผีว่ะ”
“กลัวเหี้ยไร กูแค่ตกใจเว้ย!”
ไอ้ห่านี้ก็ล้ออยู่ได้ เดี๋ยวกูโบกกระบาลแยก
“มึงดูนี่กูเป็นฮีโร่ว่ะ”
มันว่าพร้อมกับหยิบหน้ากากอุลตร้าแมนขึ้นมาสวมใส่
“ไอ้ปัญญาอ่อน ฮีร่งฮีโร่บ้าบออะไร ฮีโร่ตัวจริงคือกูนี่!”
ผมว่าพร้อมกับหยิบหน้ากากซูเปอร์แมนมาสวมที่หน้าเช่นกัน
“ฮ่า ๆ ไอ้สัส มึงปัญญาอ่อนกว่ากูอีก”
“หึหึ มึงแหละไอ้ห่าพากูเล่นเหี้ยไรเนี่ย”
ผมส่ายหัวให้กับท่าทีปัญญาอ่อนของมัน
คนอย่างงี้หรอวะที่ใครต่างก็เกรงกลัว ปัญญาอ่อนฉิบหาย
“ยิ้มอะไร” มันเอ่ยถามขณะที่วางหน้ากากลงที่เดิม
“เปล๊า” ผมปฏิเสธเสียงสูงอย่างมีพิรุธ
“น่ารักดีนะ”
“ห้ะ?”
“เวลามึงยิ้มอะ น่ารักดี ไม่ค่อยเห็นมึงยิ้มแต่กูชอบนะ”
มันว่าก่อนจะเดินนำไปด้านหน้า ทิ้งผมให้ยืนค้างกับประโยคเมื่อสักครู่
อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนใจสั่นไปชั่วขณะ ไอ้เหี้ย!! เกิดอะไรขึ้นกับกูวะเนี่ย มึงเป็นบ้าป่ะมาชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารัก ใครเขาชมกันอย่างงี้วะ
ผมกับไอ้ศิวะเดินเลือกซื้อของกันอยู่พักใหญ่ ๆ เมื่อได้ของมาครบจึงแยกย้ายกันกลับ ได้ยินมันบอกว่าจะไปทำธุระต่อ วันนี้แค่แวะมาถามดูอาการของแก้วตาเท่านั้น