บทที่ 8 สิ่งที่อยากได้

1927 คำ
กู้ถงถงขมวดคิ้วมองไปยังประตูที่มีคนมาเคาะ แต่เวลานี้แล้วฟ้าก็มืดใครกันที่ไม่รู้จักมารยาท มาโวยวายเอาตอนร้านปิดแล้วเธอก็ไม่อยากรับเช่นกัน “ร้านปิดแล้วค่ะ ค่อยมาพรุ่งนี้เถอะ” กู้ถงถงเองก็ยืนทุบแขนด้วยอาการเมื่อยขบแล้วเช่นกัน หากให้เธอรักษาคนตอนนี้ก็ไม่ไหว ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเกินไป แม้ยาจะเตรียมไว้เยอะ แต่มีบางอย่างที่ต้องเร่งหลอมขึ้นมาใหม่เช่นกัน ปัง ปัง ปัง ! ยังอีกยังไม่หยุดอีกงั้นสิ เฮ้อ...อย่าให้เธอต้องเรียกเจ้าอ้วนออกมาด่านะ “บอกแล้วไงว่าวันนี้ไม่รับคนไข้เพิ่มแล้ว” ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่ก็เงียบไปแล้วเช่นกันทำให้เธอเดินเข้าไปหลังครัวก่อนจะบ่นกับเสี่ยวหมิง “ใครก็ไม่รู้ช่างไม่รู้เวลาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เขียนป้ายว่าปิดหกโมงเย็นก็แล้วกันมากกว่านั้นไม่ไหวแล้ว” “พี่ถงอย่าหักโหมเดี๋ยวก็ป่วยไปก่อน นี่ขาหมูร้อน ๆหมิงอุ่นเอาไว้แล้ว ข้าวกำลังหุงรอสักครู่ หรือจะกินส้มก่อนก็ได้นะ ป้าขายส้มในตลาดเอามาฝากตอนที่รอตรวจ” เสี่ยว หมิงเห็นหน้าพี่ถงอ่อนล้าก็อดสงสารไม่ได้ ส่วนหยางเหล่ยเขารู้สึกตัวเองไร้ค่าไปเลย และดูเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ทั้งที่นี่เขาก็เป็นน้องชายถงถงเหมือนกัน ยิ่งเห็นว่าถงถงต้องรักษาคนเหน็ดเหนื่อยเขาคิดอยากจะทำประโยชน์ให้กับเธอบ้าง เขาลุกขึ้นจากนั้นก็เดินเข้าไปบีบที่ไหล่ของพี่สาว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรเพื่อคนอื่น กู้ถงถงชะงักค้าง ไม่นึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็มีน้ำใจทั้งมองอย่างระแวงว่าจะบีบคอเธอแทนหรือเปล่าที่งกไม่ยอมให้เงินกับเจ้านั่นดี ๆ แต่หยางเหล่ยอ่านสายตานั้นออกจึงรีบพูดกลบเกลื่อน “ก็เมื่อยไม่ใช่หรือไงอยู่นิ่ง ๆ สิ” ถงถงยิ้มอ่อน ไม่นึกว่าเจ้าเด็กนี่จะมีน้ำใจด้วย เธอจึงปล่อยให้เขานวดไหล่ให้โดยที่เจ้าอ้วนคนเก่งของเธอกำลังต้มไข่คนละฟองเพิ่มด้วย พลางนึกชื่นชมเจ้าเด็กคนนี้ช่างรอบคอบ มองไปบนโต๊ะยังมีผักคะน้าผัดน้ำมันอีก ทำอาหารเก่งไม่เบาเลยนะ จนอดถามไม่ได้ “เสี่ยวหมิงไปหัดทำอาหารจากไหนมา” “ก็คุณแม่พี่ถงอย่างไรเล่า สอนเสี่ยวหมิงตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเสี่ยวหมิงฉลาดจำเก่ง” นี่ผ่านมาสามปีเจ้าเด็กคนนี้จำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ จนเธอต้องมองใหม่อีกครั้งแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวหมิงควรจะต้องไปโรงเรียนแล้วหรือเปล่า แต่ที่นี่ต้องอายุเจ็ดขวบนี่เนอะกว่าจะเข้าเรียนได้ “เดี๋ยวเจ็ดขวบพี่ถงจะพาไปสมัครเรียน” “ไม่เอาหรอก หมิงไปเรียนใครจะทำงานให้พี่ถงล่ะ ทำคนเดียวไหวที่ไหนกัน” “เป็นเด็กเป็นเล็กหัดไปโรงเรียนจะได้มีความรู้ คนช่วยเดี๋ยวจ้างเอาก็ได้ ดูอย่างอาเหล่ยสิยังไปโรงเรียน” “แล้วหยางเหล่ยช่วยอะไรได้ ซักผ้าหมิงยังต้องสอน เรื่องเรียนน่ะหมิงไม่สนใจหรอก ง่วงเปล่า ๆ ทำงานสนุกกว่าเยอะเลย” หยางเหล่ยกัดฟัน แต่เจ้าอ้วนพูดถูกเขาไปโรงเรียนยังทำงานไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เขาจะไม่ยอมให้เจ้าอ้วนดูถูกเขาตลอดไปหรอกนะ ถงถงคิดว่าหยางเหล่ยดื้อแล้ว เธอพบคนที่ดื้อกว่าแล้วก็คือเจ้าเสี่ยวหมิง “ไม่ได้” เธอยืนกรานหนักแน่น เสี่ยวหมิงบุ้ยปากไม่พอใจ แต่ก็ขัดคำสั่งไม่ได้จึงรับปากไปก่อน “อีกตั้งสองปี เอาไว้หมิงจะคิดดูก่อน” ได้เด็กดื้อนี่ยังจะคิดดูก่อนอีกให้ตายเถอะ แต่เธอก็ได้แค่ส่ายหน้า เพราะว่างานในบ้านเจ้าเด็กตัวน้อยทำเก่งยิ่งกว่าจ้างลูกจ้างสองสามคนเสียอีก “เดี๋ยวจะขึ้นค่าแรงให้เป็นเดือนละยี่สิบหยวนดีไหม” คำว่ายี่สิบหยวนทำให้หยางเหล่ยตาตื่น เขาเองก็อยากมีเงินเหมือนกันจะได้ไม่ต้องแบมือขอเจ้าเด็กนั่น ตัวเล็กแค่นั้นกลับมีเงินของตัวเองใช้จ่าย แต่เขานี่สิมีอะไรกันนอกจากตัวเปล่า “แล้วจ้างฉันด้วยได้ไหม” หยางเหล่ยกัดฟันถาม กู้ถงถงมองหน้าเจ้าเด็กที่อิดออดไม่อยากทำงาน วันนี้เกิดอยากให้เธอจ้างขึ้นมา เขาคิดอะไรอยู่นะ แม้จะทำหน้าสงสัยแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดค่อนขอดให้เสียกำลังใจ ในเมื่ออาสาทำงานก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่คงคิดอะไรได้บ้างแล้ว “ได้สิ...ฉันจะจ้างนายเท่ากับเสี่ยวหมิง แต่นายต้องเป็นผู้ช่วยเขา เขาสั่งอะไรนายก็ต้องทำ” เธอหวังจะได้เห็นว่าคนที่มีอีโก้สูงอย่างอาเหล่ยของเธอจะต่อต้านไม่ยอมรับ เพราะคนอย่างเขาหากให้ถูกชี้นิ้วสั่งบ่อย ๆ ก็คงทำไม่ได้นานหรอก อย่างมากก็แค่ชั่วโมงเดียวคงจะถอดใจ แต่คำตอบกลับทำให้เธอคาดไม่ถึง “ได้สิ...ต่อไปฉันจะกลับบ้านเอง แล้วรีบมาช่วยเจ้าอ้วนหมิง” เสี่ยวหมิงที่ตักไข่ออกจากกระทะเสร็จแล้วก็หันมายืนเท้าเอวมองอาเหล่ยที่เรียกเขาเจ้าอ้วนไม่หยุด “นี่...อาหมิงชื่อคุนหมิง หรือเรียกหมิงเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องเติมอ้วนไปอยู่ด้านหน้าชื่อ หมิงไม่อยากได้รับเกียรติขนาดนั้น” กู้ถงถงยิ้มให้กับเจ้าอ้วนของเธอที่วีนได้น่ารักจริง ๆ แม้จะเป็นคู่กัดกันแต่พออยู่ด้วยกันแล้วเธอก็เห็นว่าเสี่ยว หมิง ออกจะเป็นห่วงอาเหล่ยจะตายไป แต่ปากบ่นไม่หยุด นี่สินะที่เรียกว่า รักกันดีตีกันทุกวัน หลังกินข้าวเสร็จถงถงก็หลับเป็นตายไปเลย เพราะเหนื่อยมากเกินไป จนกระทั่งถึงเช้าจึงตื่นขึ้นมา ส่วนเสี่ยว หมิงเหน็ดเหนือยแค่ไหนก็ตื่นเวลาเดิม ทั้งยังหุงข้าวทำอาหารตั้งแต่เช้าอีกด้วย ส่วนอาเหล่ยก็อาบน้ำแต่งตัวทั้งเสื้อผ้าของเขาก็ไม่ได้หมองเหมือนเดิมแล้ว ทำให้เธอมองดูว่าใบหน้าเขาก็แจ่มใสขึ้น คงไม่ได้รับการกรอกหูให้ทำแต่เรื่องไม่ดีจากแม่เลี้ยงล่ะสิ เด็กยังไงก็คือผ้าขาว หากแต้มสีอะไรไปก็จะออกมาแบบนั้น อยู่ที่นี่ขัดเกลานิสัยสักระยะก็ดีเหมือนกัน หากวันใดเขาเปลี่ยนใจอยากกลับไปเป็นคุณชายกู้เธอก็จะไม่ขัดขวาง เช้าวันนี้ยังคงเหมือนเดิม คนมารอรักษากันตั้งแต่เช้าพวกเราก็แยกย้ายกันทำงาน อาเหล่ยไปโรงเรียนด้วยตัวเอง เสี่ยวหมิงเป็นผู้ช่วยเธอเป็นแบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งผ่านไปเจ็ดวัน คนที่เธอลืมไปแล้วก็มาเยือนเสียที “หนูถง...ลุงฟ่านเองจำได้หรือไม่” กู้ถงถงที่คล้องคอด้วยเครื่องวัดการเต้นของหัวใจกำลังจดรายละเอียดอาการของคนไข้พร้อมกับสั่งยา เงยหน้าขึ้นมองแล้วดูลุงฟ่านที่เดินเองได้คล่องเสียด้วย ผิดจากวันแรกที่เจอกันยังต้องพยุง “สวัสดีค่ะคุณลุงฟ่าน ฉันขอตรวจตรงนี้อีกสองคนก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยด้วย” คนไข้ตอนเช้าวันนี้มีเพียงสิบคน นี่ก็เกือบหมดแล้ว เธอจึงรีบจัดการให้เสร็จ ส่วนใหญ่ก็มาด้วยการปวดท้อง ปวดหลัง และพวกโรคสตรีที่ไม่ได้ดูแลตัวเอง เธอจึงจัดยาให้ได้ง่ายหน่อย ลุงฟ่านมองร้านของแม่หนูคนนี้แล้วก็คิดอะไรบางอย่าง เขาเตรียมเงินมาจ่ายแทนเจ้าลูกชายตัวดีที่พนันเอาไว้แต่ก็ไม่กล้าสู้หน้า จึงบ่ายเบี่ยงไม่มาวันนี้กลัวขายหน้าสตรี เขาจึงให้คนขับรถมา และต้องการคุยอะไรบางอย่างกับหนูถงถงอีกด้วย กู้ถงถงตรวจอาการของลุงฟ่านอีกรอบพบว่าอาการดีขึ้นมากแล้วจริง ๆ เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้เธอยิ้มออก “เดี๋ยวคุณลุงกินยาที่ฉันจัดให้อีกหนึ่งเดือนนะคะ จากนั้นก็ดูแลสุขภาพให้ดีกินอาหารที่มีประโยชน์ไม่มีไขมันมากจนเกินไป” เธอจัดยาให้หลังจากพูดจบจากนั้นก็ยื่นยาให้ แต่ทว่าสิ่งที่ลุงฟ่านยื่นมาให้คือเงินปึกหนาจนเธอต้องมองอีกครั้ง “นี่มัน...” เธอมองลุงฟ่านอย่างแปลกใจพลางยักคิ้วถามอย่างสงสัย “หนึ่งพันหยวนสำหรับรักษาโรคให้ฉัน ฉันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ นี่ยังคิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำ เทียบไม่ได้กับร้อยหยวนที่พนันเอาไว้หรอก” ฟ่านฉายยื่นเงินนั้นให้เธอโดยไม่นึกเสียดายสักนิด เขามีเงินมากมาย แต่เมื่อเจ็บป่วยกลับใช้เงินนั้นซื้อให้ตัวเองหายจากโรคไม่ได้ด้วยซ้ำ “หนูรับไม่ได้หรอกค่ะ” “รับไปเถอะ ลูกชายฉันยังไม่กล้าสู้หน้าเธอด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่เธออยากขอก็พูดมาเถอะ ฉันจะจัดการให้อย่างดี” ถงถงยิ้มเงินจำนวนนี้มากก็จริง แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่านั้นก็คือ... “หนูอยากได้ทะเบียนบ้าน และใบอนุญาตประกอบขายยาอย่างถูกต้องที่สามารถจำหน่ายให้โรงพยาบาลได้” ใช่เธอคิดว่าไม่ง่ายที่จะได้มันในยุคนี้ ทั้งจะรักษาเหมือนโรงพยาบาลยังต้องมีใบอนุญาต ตอนนี้เธอเพียงสั่งยาให้ในนามคนขายยาเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้โดยการรักษาแบบแพทย์ แต่ว่าเรื่องนั้นเธอรู้ดีว่าต้องจบเฉพาะด้าน แต่เรื่องทำยาเธอถนัดและคิดว่าจะช่วยคนป่วยที่ทรมานจากโรคได้เยอะ ฟ่ายฉ่ายยิ้มให้เธอ เขารับรู้ได้ทันทีว่าเธอนั้นต้องการแบบนี้เพราะอะไร เจ้าเด็กหมิงนั่นไปซื้อคูปองจากเขาอยู่บ่อยครั้ง และจากการสืบประวัติของเธอเขาก็บังเอิญรับรู้เรื่องมาบ้าง “เรื่องทะเบียนบ้านเธอใส่ชื่อมาเถอะ พรุ่งนี้เธอจะได้ทะเบียนบ้านพร้อมกับคูปอง ส่วนใบอนุญาตนั้น หากเธอรับปากฉันจะช่วยคนคนหนึ่ง ฉันคิดว่าเขาจะจัดหาให้เธอได้” สิ่งที่ฟ่านฉายพูดทำให้ถงถงขมวดคิ้ว ช่วยใครกันที่มีอำนาจขนาดนั้น หรือว่าเป็นคนสำคัญในตระกูลใหญ่ ๆ “ใครงั้นเหรอคะ” “เอาไว้หนูได้พบเขาก่อนจะรู้เอง” ลุงฟ่านจากไปพร้อมกับทิ้งเงินจำนวนพันหยวนและสิ่งที่เธอสงสัยเอาไว้ ทั้งยังดูมีลับลมคมในเสียจนเธออยากรู้จริง ๆ ถ้าเขาคนนั้นสามารถทำให้คนอย่างฟ่านฉายพูดจาแบบนี้ได้…เขาจะเป็นใครกันแน่? และทำไมถึงต้องการให้เธอช่วยด้วย? แต่ไม่ว่าเขาเป็นใคร หากเธอได้เจอสักครั้งไม่แน่อาจจะพอมีทาง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม