8

2187 คำ
วันนี้ฝนท่าจะตก... ‘ลั่วหมิงซี’ คิดในขณะที่ปรายตามองผู้มาใหม่ที่เข้ามาหาเขาถึงห้องทำงานส่วนตัวในท่าทีไม่สะทกสะท้าน เจ้าตัวยิ้มร่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่หายหน้าหายตาไปจาก ‘คฤหาสน์ตระกูลลั่ว’ ไปนาน ซึ่งครั้งสุดท้ายที่หมิงซีเจออีกฝ่ายนั้น ก็น่าจะเกือบสามเดือนมาแล้ว และถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาไปหาอีกฝ่ายถึงโรงพยาบาลก็คงยากที่จะได้พบคุณหมอหนุ่มผู้เป็นน้องชาย “กว่านายจะมาหาพี่ได้นะหมิงเฉิน” ชายหนุ่มทักทายกึ่งตำหนิน้องชายเมื่ออีกฝ่ายมาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา “พี่เกือบจะนึกว่าพี่ไม่มีน้องชายแล้วน่ะ” หมิงซีกัดคนเป็นน้องเบาๆ ดวงตาคมของเขาตวัดมองคนที่มีดวงหน้าต่างกันจนแทบจะดูไม่ออกว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน เพราะอีกคนโปร่งเพรียวเป็นหนุ่มหน้าสวย มีรอยยิ้มละมุนละไมติดอยู่บนริมฝีปากแดงสดดูโดดเด่นตัดกับผิวขาวจัดตามประสาคนที่ไม่ค่อยได้ออกแรงมากไปกว่าการเดินราววอร์ดและผ่าตัดคนไข้ ขณะที่คนเป็นพี่กลับมีร่างกายสูงใหญ่ เรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ดวงตาและท่าทางที่ดูดุดันแกมเจ้าเล่ห์และมีรัศมีอันตรายกระจายอยู่รอบตัว เพราะเจ้าตัวเป็นถึง ‘หัวหน้าพยัคฆ์’ ซึ่งเขาเพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งนี้ เปรียบเสมือนหัวหน้ากลุ่ม ‘ไป๋หู่’ กลุ่มอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดติดหนึ่งในสี่ของฮ่องกง ทว่าอาณาเขตที่พวกเขามีสถานะเป็นที่หนึ่งนั้นคือฝั่งเกาลูนต่างหาก และอย่างที่รู้กันมาโดยตลอดว่าแก๊งทั้งสี่อย่าง ‘ไป๋หู่’ ‘ชิงหลง’ ‘จูเชว่’ และ ‘เสวียนอู่’ ของฮ่องกงนั้นต่างเป็นศัตรูกันมาอย่างช้านาน ความขัดแย้งที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือความขัดแย้งระหว่าง ‘ตระกูลหลง’ ซึ่งปกครองชิงหลงกับ ‘ตระกูลลั่ว’ ที่ปกครองไป๋หู่ พวกเขาเป็นคู่แข่งของกันและกัน เนื่องจากทำธุรกิจทับซ้อนกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งสองแย่งชิงความเป็นใหญ่กันมาอย่างช้านาน ผลัดกันแพ้ชนะมาหลายต่อหลายรุ่น ที่น่าจับตามองมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในรุ่นปัจจุบัน ซึ่งสองผู้นำรุ่นใหม่ของทั้งชิงหลงและไป๋หู่ต่างก็มีอายุเท่ากัน แถมพวกเขาต่างนำพาธุรกิจทั้งบนดินและใต้ดินของแก๊งทำกำไรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งสองแก๊ง ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างการช่วงชิงอำนาจเพิ่มมากขึ้น จนแก๊งเล็กแก๊งน้อยสัมผัสได้และเริ่มจับตามองเพื่อประเมินว่าควรเลือกข้างฝ่ายใดจึงอยู่จะรอด เพราะการปะทะกันระหว่างแก๊งใหญ่ แก๊งเล็กๆ อย่างพวกตนอาจพลอยโดนกวาดล้างไปด้วย ตอนนี้ต่างก็รู้แน่แก่ใจกันแล้วว่า ดุลอำนาจทั้งสี่ที่เคยถ่วงดุลกันไว้กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง การรวบอำนาจจะเกิดขึ้นในโลกมืด ไม่นาน...เวลานั้นจะมาถึง “โธ่ พี่…อย่าพูดให้ผมรู้สึกผิดสิ” ‘ลั่วหมิงเฉิน’ อุทธรณ์ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง คุณหมอหนุ่มรู้ดีว่าพี่ชายไม่พอใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้โกรธอย่างจริงจัง เขาทรุดนั่งลงบนอาร์มแชร์ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพี่ชายซึ่งมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่กางกั้นเมื่ออีกฝ่ายทำสัญญาณมืออนุญาตให้เขานั่งลง “รู้สึกผิดก็ดี นายจะได้กลับมาช่วยงานที่บ้านบ้าง” หมิงซีเอ่ยเสียงเย็น จ้องมองอีกฝ่ายตาขุ่น นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าขัดใจสำหรับเขา หมิงซีรู้ดีว่าน้องชายของเขาฉลาดมากแค่ไหน อีกฝ่ายควรจะมาทำงาน ‘เพื่อตระกูล’ มากกว่าจะไปหมกตัวเป็นหมอเล็กๆ ในโรงพยาบาล หึ! รักษาผู้ป่วยยากจนอย่างนั้นเรอะ ไอ้งานที่เหนื่อยแทบตายแต่ไม่คุ้มค่าจ้างนั่นมันจะไปดีกว่าการช่วยเขาบริหารไป๋หู่ได้ยังไง! หมิงเฉินได้ยินคำพูดนั้นของพี่ชายก็ได้แต่ยักไหล่ยิ้มไม่ถือสาเพราะเป็นคำพูดครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจนับได้ เนื่องจากหมิงซีพูดอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตลอดหกเจ็ดปีที่ผ่านมานับตั้งแต่รู้ว่าเขาเลือกที่จะเรียนแพทย์แทนที่จะเรียนบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยงานของตระกูล “บ้านเรามีพี่คนเดียวก็พอแล้วหมิงซี” เขาเอ่ยเป็นเชิงหยอกเย้าแต่เป็นความจริงจากใจทุกคำ ตระกูลลั่วและไป๋หู่มีพี่ชายของเขาแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทายาทที่ชอบธรรมของตระกูลและไป๋หู่มีเพียงพี่ชายของเขาที่เหมาะสม ส่วนเขา...คนที่มีเลือดผสมและไม่ได้มีคุณสมบัติที่ดีพอจะเข้าทำงานให้กับตระกูลลั่วกับไป๋หู่ ขอสมัครใจเป็นน้องชายของหมิงซีและคอยช่วยเหลืออีกฝ่ายหากมีการร้องขอมาเสียดีกว่า “หึ! นายจอมขี้เกียจ” หมิงซีส่งเสียงอย่างไม่ชอบใจ แม้จะรู้เหตุผลดีว่าน้องชายต่างมารดาคนนี้หวังกันตัวเองออกจากตระกูล เพราะคิดว่าไม่คู่ควรมากกว่าที่จะไม่อยากช่วยเขาจริงๆ แต่นั่นแหละ... การเข้ามาของหมิงเฉินอาจทำให้พวกผู้อาวุโสตาเฒ่าหัวเก่าทั้งหลายไม่พอใจเพราะความเป็น ‘เลือดผสม’ ของ หมิงเฉิน ที่เกิดจากมารดาชาวเกาหลี แถมไม่ได้มีฐานะอะไรที่ทัดเทียมกับหัวหน้าพยัคฆ์คนก่อนเลยแม้แต่น้อย หมิงเฉินโคลงศีรษะน้อยๆ ให้คนเป็นพี่ ก่อนจะตอบโต้กลับไปทันควัน “ผมเชื่อใจพี่ต่างหาก ถึงได้ไม่เข้ามายุ่งน่ะ อีกอย่างมีพี่ทำงานให้ผมนี่ดีจะตาย” ตอนท้ายเขาพูดกลั้วหัวเราะพลางหลิ่วตาให้อีกฝ่าย เป็นที่รู้กันดีระหว่างสองพี่น้องว่าถึงหมิงเฉินจะไม่ทำงานแต่เจ้าตัวก็ยังมีหุ้นจำนวนไม่น้อยในบริษัทเครือไป๋หู่ ถึงอย่างไรหมิงเฉินก็มีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตระกูลลั่ว หรือก็คือธุรกิจของไป๋หู่นั่นแหละ บิดาของพวกเขาหาใช่คนอยุติธรรม ถึงหมิงเฉินจะไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าทำงานกับไป๋หู่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับเป็น ‘คุณชายรอง’ แห่งตระกูลลั่ว แถมหมิงซีผู้นำคนปัจจุบันก็รักใคร่น้องชายของตนเองดี ไม่มีอาการเกลียดชังน้องต่างมารดาแต่อย่างใด เนื่องจากมารดาของหมิงซีนั้นเสียชีวิตหลังคลอดเขาเพียงสี่เดือน บิดาเป็นโสดจนเขาหกขวบถึงได้แต่งงานใหม่ และปีถัดมาเขาก็มีน้องชายเพิ่มเข้ามาอีกคนนั่นเอง “ไอ้คนเจ้าเล่ห์” หมิงซีถลึงตาใส่คนที่พูดเป็นนัยว่า มีเขาทำงานหาเงินให้ใช้ จะเหนื่อยทำงานไปทำไม ก่อนจะมองอีกฝ่ายตาขุ่นกว่าเดิมเมื่อหมิงเฉินเอาแต่หัวเราะ สุดท้ายคุณหมอหนุ่มก็ต้องรีบยกมือยอมแพ้ เมื่อเห็นพี่ชายหันไปคว้าที่เขี่ยบุหรี่คริสตัลขึ้นมาหมายจะปาหัวเขา เขากระแอมในลำคอนิดหน่อยแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อรักษาสวัสดิภาพทางร่างกายของตนเอง “ว่าแต่พี่เถอะ ให้คนไปตามตัวผมด่วน มีธุระอะไรเหรอครับ?” เขาเอ่ยถาม แม้มันจะเป็นเรื่องเมื่อสามวันที่แล้ว ตอนที่ได้รับข้อความด่วนมาก เขารู้ดีว่ามันไม่ได้ด่วนขนาดนั้นจึงเตะถ่วงเวลาจนกระทั่งคิดว่าไม่สมควรยื้ออีกต่อไปจึงได้มาที่นี่ เป็นสาเหตุให้พี่ชายของเขามีสีหน้าประหลาดใจในตอนแรกที่เห็นหน้าเขา หมิงซีเองก็เปลี่ยนมาเป็นท่าทีจริงจัง เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีดำจัดของผู้เป็นพี่ชาย คุณหมอหนุ่มก็ได้แต่ลอบถอนหายใจยาว และไม่ผิดจากที่คิดเมื่อหมิงซีเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่อยากให้นายกลับบ้าน พี่ยืนยันจริงๆ นะหมิงเฉิน” “แต่ว่า...” คุณหมอหนุ่มพยายามจะคัดค้าน แต่คนเป็นพี่ส่ายหน้าไม่รับฟังพร้อมกับเอ่ยดักคอเขาต่อไปอย่างรู้ทันกัน “เลิกทำไอ้งานการกุศลนั่นของนายได้แล้ว ถ้านายอยากเป็นหมอก็กลับมาทำงานที่โรงพยาบาลในเครือของเรา” หมิงเฉินกัดริมฝีปากแน่นตลอดเวลาที่รับฟังคำสั่งอย่างจริงจังของผู้เป็นพี่ แต่เขาก็มีปณิธานแน่วแน่เช่นกัน เขาจะไม่ก้าวเข้าสู่ไป๋หู่...ไม่มีวันเข้าไป “พี่ก็รู้...ผมจะไม่ยุ่งเรื่องของไป๋หู่” คุณหมอหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม และดูเหมือนคราวนี้หมิงซีไม่คิดจะอะลุ่มอล่วยให้อย่างที่ผ่าน “แต่นายคือทายาทของไป๋หู่...ลั่วหมิงเฉิน” หัวหน้ากลุ่มพยัคฆ์เน้นชื่อจริงของน้องชาย “กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว” หน้าที่ที่หมิงเฉินละเลยมานาน เขาสมควรเดินเข้าสู่วิถีทางของคนในตระกูลลั่วได้แล้ว แม้หมิงเฉินจะคิดว่าตนเองไม่สมควรก้าวเข้าสู่ไป๋หู่ เพราะปัญหาสายเลือดบ้าบอนั่น แต่เขาไม่สนใจ! หมิงเฉินต้องกลับมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อตระกูลลั่วกับไป๋หู่! “พี่…” หมิงเฉินครางอย่างรู้ดีว่าเขายากที่จะหลบเลี่ยงได้ในคราวนี้ สำหรับเขาปัญหาสายเลือดไม่สำคัญเท่ากับที่เขาไม่ชอบชีวิตในโลกมืดของตระกูลลั่ว ไม่ชอบวิถีชีวิตของมาเฟีย เกลียดการถูกเป็นเป้า เกลียดที่จะต้องตามฆ่าหรือไม่ก็ถูกฆ่า เกลียดที่จะมีชีวิตอยู่ในกรงที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่อ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของเขา เกลียดที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจปรารถนา เกลียด…เพราะทุกสิ่งที่อย่างที่กล่าวมาทำให้ชีวิตของผู้เป็นแม่ ซึ่งเขาดูแลท่านจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เป็นชีวิตที่ไร้อิสระทั้งปวง เขาไม่เคยเข้าใจว่ามารดาทนได้อย่างไร บิดาไม่เคยหยุดอยู่ที่มารดาของเขาเพียงผู้เดียว ลั่วหยางอาจเป็นบิดาที่ดี แต่เขาเป็นสามีที่แย่มาก ปากบอกว่ารักแต่เขากลับทำร้ายคนที่รักอยู่ตลอดเวลา ถ้อยคำสุดท้ายของแม่ก่อนจะสิ้นใจเขายังจำได้ไม่ลืมเลือน ‘หมิงเฉินจงใช้ชีวิตที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันสดใสนะลูก...อย่าเป็นอย่างแม่หรือพ่อ ชีวิตในโลกมืดคือชีวิตต้องคำสาป แม่... อยากให้ลูกของแม่มีชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์อันสดใส’ “นี่คือคำสั่ง ถ้านายยังเคารพว่าฉันเป็นพี่ ก็กลับมาได้แล้วลั่วหมิงเฉิน” เสียงของผู้เป็นพี่ชายปลุกให้หมิงเฉินหลุดจากภวังค์ความคิด เขามองใบหน้าพี่ชายที่ฉายแววจริงจังมากขึ้น ทุกครั้งที่เจอการกล่อมให้เขากลับมาอยู่บ้านและเข้าทำงานกับตระกูลลั่ว ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่หมิงซีจะจริงจังเท่านี้ครั้งนี้ และใช้ ‘คำสั่ง’ อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “มันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ทำไมพี่ถึง...” เขาหรี่ตาลงเป็นเชิงสงสัย ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ท่าทีก็มากพอให้หมิงซีรับรู้ว่าน้องชายจะพูดอะไร หมิงซีสบตาคนเป็นน้องตรงๆ แม้ไม่หลบเลี่ยงแต่ก็ไม่ตอบตามตรงว่า ช่วงนี้กำลังมีปัญหาหนักจนเขาต้องการผู้ช่วยที่ไว้ใจได้มากที่สุดมาช่วยงานใกล้ตัว และ…อาจเป็นการฝึกทายาทของไป๋หู่กับตระกูลลั่วเผื่อเอาไว้ในกรณีฉุกเฉินหาก เขาจากไปก่อนเวลาอันควร หมิงเฉินจะได้ดูแลตระกูลลั่วและไป๋หู่ได้ ทั้งสองจะได้ไม่ถูกกลืนกินหรือล่มสลายไป “ถึงเวลานายก็จะรู้เอง แต่ตอนนี้ฉันอยากให้นายเลิกทำตัวเป็นนักบุญแล้วกลับมาอยู่ในที่ของนายได้แล้ว” เขาสั่งคุณหมอหนุ่มซ้ำอีกครั้ง และคราวนี้ก็สร้างความหนักใจให้แก่หมิงเฉินเสียจนไม่กล้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดอย่างที่แล้วมา “ผม…ขอเวลาได้ไหม” คุณหมอหนุ่มต่อรอง เขามองพี่ชายที่นั่งนิ่งขึงด้วยสายตาอ้อนวอน นานอยู่เกือบห้านาทีก่อนที่หมิงซีจะเอ่ยออกมาในที่สุด คำสั่งสุดท้ายที่ประกาศิตชีวิตของเขา... “ได้” “…” “ฉันให้เวลานายไม่เกินหนึ่งเดือน หวังว่านายจะกลับมาอย่างที่รับปากไว้นะลั่วหมิงเฉิน...” คำพูดเป็นเชิงคาดคั้นว่าคำตอบของเขาจะต้องเป็นไปในทิศทางที่อีกฝ่ายต้องการก็ทำให้หมิงเฉินถอนหายใจยาว ทั้งโล่งอกและหนักอกไปพร้อมๆ กัน คำพูดของผู้เป็นมารดายังก้องอยู่ในหูราวกับได้ยินอีกฝ่ายกระซิบบอก ‘ลูกต้องใช้ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์...แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลูก....’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม