“เป็นยังไงล่ะ บอกแล้วไงว่าอย่าเป็นคนดีให้มากนัก สุดท้ายก็ได้แต่เจ็บตัวอย่างนี้”
จางเยว่ซินเหล่ตามองลูกพี่ลูกน้องของตนเองพลางถามด้วยน้ำเสียงแดกดันนิดๆ รู้สึกทั้งโกรธทั้งระอาใจอย่างบอกไม่ถูกกับคนตรงหน้าที่หวังดีอยากช่วยคนอื่น แต่สุดท้ายกลับต้องมาเจ็บตัวเสียเองเพราะช่วยชาวบ้านวิ่งไล่จับโจร รวิสราต้องหกล้มถึงสองครั้งและชนกับร้านค้าอีกสามสี่ร้าน สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดจนต้องออกมาร้องตะโกนต่อว่าเสียงดัง ทำให้เยว่ซินที่วิ่งตามต้องหยุดขอโทษเป็นระยะๆ กระทั่งในที่สุดมีพลเมืองดีอีกสองสามคนช่วยกันดักจับโจรคนนั้นเอาไว้ได้และได้ช่วยกันนำส่งตำรวจไปเรียบร้อยแล้ว เยว่ซินถึงได้ลากแม่คนชอบทำความดีออกมานี่ยังไงล่ะ!
“โธ่…” รวิสราร้องครางเสียงอ่อย “แต่เธอไม่เห็นเหรอว่าป้าคนนั้นดีใจมากแค่ไหนที่ได้กระเป๋าคืนน่ะ” เธอพยายามทักท้วงว่าตนเองเพิ่งทำความดีมาหวังจะให้คนเป็นพี่เห็นใจ
เยว่ซินที่ชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ค้อนขวับ ไม่ใจอ่อนกับคำพูดขอความเห็นใจและความเข้าใจของรวิสราเลยแม้แต่น้อย
“ดีใจก็ส่วนดีใจสิ แล้วเธอทำไมต้องหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวตลอดด้วยล่ะ” หญิงสาวยังคงตำหนิคนตัวเล็กอย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้าบูดบึ้งเพราะเคยพูดเรื่องนี้กันหลายรอบแล้ว
ไอ้ทำความดีน่ะไม่มีใครว่า แต่ทำแล้วตัวเองต้องมาเจ็บนี่มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ!
“อาซิน อย่าโกรธเลยน่า” รวิสราเห็นว่าอีกฝ่ายชักจะโกรธจริงจังก็ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปซบหน้าลงกับท่อนแขนคนตัวสูงกว่าแล้วออดอ้อนเพื่อให้ เยว่ซินหายโกรธตามประสาคนขี้อ้อนเพราะเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว แต่ถึงอย่างนั้นพฤติกรรมเช่นนี้ก็สงวนไว้เฉพาะกับคนที่สนิทสนมมากเท่านั้น ทำไงได้... ในเมื่อเห็นคนเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า จะให้อดใจไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ยังไงไหว
“โกรธสิ” เยว่ซินเสียงเข้ม ผลักศีรษะเล็กๆ ที่ซบกับต้นแขนเธอออกไม่ยอมให้อีกฝ่ายอ้อน “เธอมันไม่รู้จักรักตัวเองบ้างเลย นี่ยังดีนะที่เธอแค่โดนมีดเฉี่ยว! เกิดโดนแทงจนต้องเข้าโรงพยาบาลขึ้นมาฉันจะอธิบายกับน้าริสาและพี่ใหญ่ยังไง!”
สาวลูกครึ่งตำหนิเสียงเขียว แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด เมื่อเห็นข้อมือของ รวิสรามีบาดแผลจากการถูกของมีคมกรีดผ่านผิวเนื้อขาวผ่อง ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ! มีดจากไอ้โจรที่ยายหนูเล็กมันทำตัวเป็นฮีโร่ไปช่วยชาวบ้านเขามาไง! โชคดีที่แผลไม่ลึกและเลือดเพิ่งหยุดไหลไปเพราะรวิสราได้กดห้ามเลือดไว้แล้ว
“อาซินน่ะ...” รวิสราทำเสียงกระเง้ากระงอด ก่อนจะทำหน้าหงอยเมื่อโดนคนตัวสูงกว่าถลึงตาดุใส่
“อย่ามาทำหน้าหมาหงอยใส่ฉันนะ!”
“อย่าดุนักสิ ฉันขอโทษ ต่อไปจะ...” รวิสรากำลังจะโพล่งคำสัญญาที่เคยพูดจนชินปาก แต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นพูดอะไรมากไปกว่านี้ เยว่ซินที่รู้ทันกันก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องมาสัญญาอะไรเลย เธอบอกฉันกี่รอบแล้วหนูเล็กว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก แต่เธอก็ไม่เคยทำได้ นี่ครั้งที่สามแล้วใช่ไหมที่เธอทำแบบนี้?”
“ก็…”
รวิสราถึงกับอ้าปากค้างกับน้ำเสียงเข้มๆ ของอีกฝ่าย แล้วสุดท้ายก็ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ เพราะเถียงอะไรไม่ออกอยู่ดี จะว่าไปที่เยว่ซินพูดมันก็...ถูกต้องทุกคำ!
เยว่ซินเห็นท่าทางของลูกพี่ลูกน้องแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตก“ฉันปวดหัวแทนป้ากับพี่ใหญ่จริงๆ ที่มีลูกกับน้องอย่างเธอเนี่ย!”
“ก็…นิดเดียวเอง”
รวิสรายังคงพยายามเถียงอุบอิบ ทำให้เยว่ซินถลึงตาดุใส่อีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำประกาศิตออกมาให้สาวร่างเล็กถึงกับสะดุ้ง
“ฉันจะฟ้องแม่เธอนะคราวนี้”
“อย่านะ!” รวิสรารีบห้ามเป็นพัลวัน “ถ้าเธอฟ้องฉันก็อดไปฮ่องกงกับเธอสิ” หญิงสาวบอกกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เพราะเพิ่งเกริ่นกับเยว่ซินไปว่าตนเองจะไปฮ่องกงด้วยในคราวนี้
“นี่เธอขู่ฉันเหรอหนูเล็ก” คนถูกขู่หรี่ตามองน้องสาวตนเองด้วยสายตาดุดัน และใบหน้าสวยก็เริ่มบึ้งตึงมากขึ้นทุกที
“ไม่ขู่สิ” รวิสรารีบปฏิเสธ แม้ว่าเยว่ซินจะเดาถูกก็ตาม แต่ใครจะกล้ารับล่ะ! เยว่ซินเอาเธอตายแน่ๆ ถ้ายอมรับว่าตั้งใจจะขู่เจ้าหล่อนน่ะ! “ฉันขอร้องไง ขอร้อง…นะนะ” เธอเขย่าแขนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างออดอ้อน “พี่เยว่ซินสุดที่รัก...สัญญาว่าต่อไปจะไม่ช่วยใครจนทุ่มสุดตัวแบบนี้อีกแล้ว”
หญิงสาวทั้งออดอ้อนและอ้อนวอนสารพัด กระทั่งยอมสัญญาอีกเป็นครั้งที่สี่เยว่ซินถึงได้มีท่าทีอ่อนลง
“สัญญา?” สาวลูกครึ่งปรายตาทวนเสียงสูงเป็นเชิงคาดคั้น ขณะที่รวิสราได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ยืนยันเสียงแข็ง
“รับปากอย่างสุดความสามารถเลยเอ้า! เธอเคยเห็นฉันผิดคำพูดเหรอ?” หญิงสาวย้อนถามกลับอย่างจริงจัง แต่คนถูกถามถึงกับหมั่นไส้จนอดที่จะจิ้มนิ้วลงไปบนหน้าผากมนของรวิสราไม่ได้
“ก็หลายครั้งอยู่นะ”
“อาซินน่ะ”
คนโดนจิ้มหน้าผากเลยได้ทำท่าอมลมในปากจนแก้มใสๆ นั้นป่องออกมาเป็นเชิงบอกว่ากำลังงอน แต่เยว่ซินไม่สนใจแม้แต่น้อย เจ้าหล่อนฉุดแขนคนตัวเล็กกว่าให้ออกเดินไปยังลานจอดรถพร้อมกับพูดว่า
“ไป แผลเธอมันเลือดออกเยอะด้วย ไปโรงพยาบาลกันก่อน”
“ไม่เอาหรอก แผลไม่ลึกนี่ แค่ทำแผลก็พอแล้วมั้ง” รวิสราปฏิเสธพลางมองแผลบนข้อมือเล็กๆ ของตัวเอง มันไม่ลึกมากและตอนนี้เลือดก็หยุดไหลแล้วด้วย เธอคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปโรงพยาบาลให้เสียเวลาและเสียเงิน แถมยังสุ่มเสี่ยงโดนแม่ด่าข้อหาที่เธอหาเรื่องเจ็บตัวทุกครั้งที่ออกจากบ้านอีกด้วย
“แน่ใจนะ ถ้าเกิดเป็นบาดทะยักล่ะจะทำยังไง” เยว่ซินลังเลพลางเหล่มองแผลอีกฝ่ายอย่างนึกห่วง
“ไม่มีทางหรอกน่า” รวิสราปฏิเสธเสียงระรัวพลางส่ายหน้ายิกๆ “แผลนิดเดียวเอง”
เห็นท่าทางดื้อดึงของญาติผู้น้องแล้วเยว่ซินก็ได้แต่ถอนหายใจยาวก่อนจะบอกกับอีกฝ่ายอย่างจำยอม
“งั้นไปซื้อยาฆ่าเชื้อแล้วมาทำแผลให้เธอก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยกลับบ้านกัน”
“เธอจะซื้อของต่อก็ได้นะ” รวิสราเสนอขึ้น แผลแค่นี้ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย คงเพราะครั้งนี้เธอเพิ่งออกกำลังกาย ส่งผลให้เลือดสูบฉีดแรงขึ้นทำให้เลือดไหลมากกว่าปกติจนดูน่ากลัว
“ไม่ซื้อแล้ว” เยว่ซินค้อนควักใส่ญาติผู้น้องเมื่อเจอคำถามนี้ “ฉันหมดอารมณ์แล้วล่ะย่ะ”
หญิงสาวบอกเสียงเขียวก่อนจะลากข้อมือข้างที่ไม่เจ็บของอีกฝ่ายตรงไปหาซื้อยาและอุปกรณ์มาทำแผล