อารัมภบท
ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมว่าชีวิตของฉันช่างน่าอิจฉา ทั้งเรื่องการศึกษา รูปร่างหน้าตา ฐานะครอบครัว รวมไปถึง... คนรัก
พี่กวิน เขาเป็นรักแรกและเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่าสวรรค์บนดิน ผู้ชายคนนี้ปรนนิบัติฉันอย่างดีทุกอย่างราวกับนางฟ้าก็ไม่ปาน นั่นจึงไม่แปลกที่ฉันจะเชื่อใจ และเชื่อมั่นมาตลอดว่าฉันคือเบอร์หนึ่ง
แต่อยู่ ๆ ความเชื่อใจที่ตั้งมั่นอยู่เกือบสามปีก็เริ่มสั่นคลอน เมื่ออยู่ ๆ แฟนของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่โทรหาทุกเย็น กลับกลายเป็นฉันที่ต้องเป็นฝ่ายโทรหาตลอด จากที่มาหาทุกวันหยุด กลับกลายเป็นไม่เหลือเวลาว่างให้ฉันแม้แต่เสี้ยววินาที นั่นเลยทำให้ฉันสงสัย ว่าเขากำลังมีเบอร์สอง...
“พี่กวินทำอะไรอยู่เหรอคะ รับสายช้าจัง”
ฉันกรอกเสียงลงโทรศัพท์พลางจ้องมองขึ้นไปบนคอนโด ในขณะที่กำลังนั่งใจเต้นระส่ำด้วยความกังวลอยู่ในรถ
(อ๋อ พี่ออกกำลังกายอยู่น่ะ)
“มิน่าล่ะ เสียงหอบเชียว”
ฉันเม้มปากเล็กน้อยด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ หากไม่ขับรถมาให้เห็นกับตาและได้เห็นว่าเขาจูงมือผู้หญิงเดินขึ้นห้อง ฉันก็คงจะโง่เชื่อประโยคหลอกลวงนี้ไปแล้ว
(อลิซมีอะไรหรือเปล่า พี่ว่าจะไปอาบน้ำแล้วอะ)
“ถ้าไม่มีธุระอะไร ลิซโทรหาไม่ได้เลยเหรอคะ”
พูดจบก็รีบดึงโทรศัพท์ออกให้ไกลตัว เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงสะอื้น แม้พยายามจะกัดริมฝีปากล่างเพื่อข่มเสียง แต่กระนั้นก็ไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดที่ปะทุอย่างรุนแรงได้เลย
(ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ แต่ว่าตอนนี้พี่ไม่สะดวกจริง ๆ เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีพี่โทรกลับนะครับคนเก่ง)
ใจจริงฉันอยากตะคอกกลับไปว่าเขาจะอาบน้ำ หรือจะไปเอากับอีนั่นต่อกันแน่ แต่ฉันก็ยังเป็นฉัน เป็นอลิซคนที่ขลาดกลัวกับความจริง เลยต้องยอมวางสายไปเงียบ ๆ
ทันทีที่สิ้นสุดการโทร ฉันก็ปล่อยให้ตัวเองสะอื้นร้องไห้ออกมาหนัก ๆ ปานจะขาดใจ ในหัวเอาแต่ตั้งคำถามซ้ำ ๆ ว่าฉันพลาดไปตรงไหน ทั้งที่ฉันก็ยอมตามใจ และเป็นแฟนที่ดีให้เขาทุกอย่าง แล้วทำไมเขาต้องตอบแทนโดยการเสียบปลายมีดเข้ากลางหลังฉันอย่างเลือดเย็นอย่างนี้
(เป็นไงบ้างแก)
ข้อความที่เด้งเข้ามาทำให้ฉันเพ่งมองอย่างให้ความสนใจ และพบว่ามันคือข้อความจากยัยออมสิน เพื่อนรักที่บังคับให้ฉันออกมาจับผิดพี่กวินจนทำให้ฉันได้มาเจอภาพบาดตาบาดใจ
“เขาพาผู้หญิงขึ้นห้องจริง ๆ”
ฉันพยายามเพ่งมองแป้นพิมพ์ผ่านม่านน้ำตาแล้วพิมพ์ตอบกลับไป ทั้งที่มือยังสั่นไหวจนควบคุมไม่อยู่
(ว่าแล้วเชียว! แล้วแกได้ขึ้นไปตบพวกมันยัง)
“ฉันไม่กล้าขึ้นไป”
ฉันตอบออกไปตามความจริง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาดได้เท่านี้มาก่อน ทำไมฉันถึงอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้นะ
(งั้นรอแป๊บ จะถึงแล้ว)
“ไม่ต้องมานะแก ฉันจะกลับแล้ว”
ฉันพิมพ์ตอบกลับไปทันทีที่อ่านข้อความจบ ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะกดอ่านข้อความที่ฉันส่งไป แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากนั่งรอและร้องไห้อยู่เงียบ ๆ
ก๊อก ๆ
ผ่านไปไม่น่าจะถึงห้านาทีด้วยซ้ำ จู่ ๆ ยัยออมสินก็เดินมาเคาะที่กระจกรถ ฉันจึงรีบเปิดประตูออกไปทั้งน้ำตา พร้อมกับโผเข้ากอดเพื่อนรักพลางปล่อยโฮออกมาจนไหล่สั่น
“ใจเย็น ๆ นะแก”
“ฮึก ทำไมเขาทำแบบนี้วะ เขาทำกับฉันได้ยังไง ฮืออ”
ยัยออมสินตกใจไม่น้อยที่เห็นฉันร้องไห้ฟูมฟายหนักขนาดนี้ จึงทำได้เพียงยืนลูบหลังปลอบใจฉันอยู่พักใหญ่ จนฉันเริ่มดีขึ้น
“แล้วแกเอาไงต่อวะ”
“ฮึก ก็คงเลิกอะ”
ฉันตอบกลับพลางเช็ดน้ำตาลวก ๆ
“แล้วถ้ามันบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่เพื่อน ไม่ได้มีอะไรเกินเลย แกก็จะใจอ่อน ไม่เลิกกับมันเชื่อปะ”
ยัยออมสินที่มองผู้ชายอย่างทะลุปรุโปร่งถึงสันดานดิบดักทางอย่างรู้ทัน
“แล้ว... ฉันควรทำยังไงดี”
“แกก็ต้องขึ้นไปดูให้เห็นกับตา คิดจะจับ ก็ต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา พวกผู้ชายมันยิ่งกว่าปลาไหล ลื่นยิ่งกว่าอะไรดี”
“แต่ฉัน...”
บอกตามตรงว่ากลัวจะเจอภาพบาดตา แต่ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ยอมไปพบกับความจริง ฉันก็อาจจะคาใจกับเรื่องราวในวันนี้ไปจนตายเลยก็ได้
“โอเค งั้นขึ้นไปดูกัน”
ฉันพรูลมหายใจออกปากหนัก ๆ เพื่อเรียกสมาธิ ก่อนจะเดิมกุมมือยัยออมสินขึ้นไปบนคอนโด ตอนแรกก็ใจกล้าอยู่นั่นแหละ แต่พอใกล้ถึงหน้าห้องใจก็เริ่มสั่นไหวด้วยความกลัวไปโดยอัตโนมัติ ในหัวเริ่มจินตนาการภาพว่าถ้าหากเป็นอย่างที่คิดฉันควรทำยังไง ฉันควรตบพี่กวินไหม แต่ฉันไม่เคยทำรุนแรงกับเขาเลยนะ
ในที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ห้องที่เขาเคยสัญญาว่าจะมีแค่ฉันคนเดียวที่ได้เข้าไป
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ อีกครั้ง ก่อนจะยกคีย์การ์ดสำรองด้วยมือที่สั่นไหวขึ้นมาเปิดประตู
“พร้อมนะ”
ยัยออมสินหันมาถามเสียงเบาแต่จริงจังในขณะที่ประตูถูกปลดล็อกสำเร็จ และทันทีที่ฉันพยักหน้า ประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเข้าไปเต็มแรง
ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องตอนนี้ไม่ต่างไปจากภาพที่จินตนาการเอาไว้ก่อนหน้า ซ้ำยังค่อนไปทางหนักกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะตอนนี้ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนฉันกำลังโอบกอดผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งอยู่บนเตียง เสื้อผ้าของเขาถูกปลดออกไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว แถมบนโต๊ะยังมีไวน์ที่ฉันซื้อมาฝากเมื่อเดือนก่อนอีกด้วย
“เชี่ย!! อลิซ”
พี่กวินรีบควานมือคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวขึ้นมาพันรอบเอวหลวม ๆ แล้วลุกลี้ลุกลนวิ่งเข้ามาหาฉันเพื่อแก้ตัว ส่วนผู้หญิงหน้าด้านคนนั้นเธอก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน รีบก้มลงเก็บเสื้อผ้าที่ถอดไว้ข้างเตียง แต่ช้าไปกว่ายัยออมสินที่พุ่งเข้าไปประชิดตัว
“มึงมานี่อีหน้าด้าน กล้าแย่งแฟนเพื่อนกูเหรอฮะ!”
เพียะ เพียะ!!
“กรี๊ดดด!”
ความชุลมุนที่เกิดขึ้นบนเตียงสีขาวสว่างไม่อาจดึงความสนใจไปจากผู้ชายตรงหน้าฉันได้ ฉันเอาแต่จ้องมองเขาผ่านม่านน้ำตา อยากจะยกมือขึ้นมาตบเขาอย่างที่เตรียมการเอาไว้ แต่เรี่ยวแรงตอนนี้แค่ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้ตัวเองยังทำไม่ได้เลย
“อลิซฟังพี่ก่อนนะ คือ... พี่แค่เมาน่ะ พี่ไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป”
เพียะ!
หลังจากได้ฟังคำแก้ตัวที่โคตรทุเรศหู ในที่สุดฝ่ามือเล็กเรียวก็ฟาดเข้าหน้าอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง
แก้ตัวแบบนี้ได้ไงวะ ทุเรศที่สุด
“ออมสิน! กลับกันเถอะ”
ฉันหันหลังแล้วเตรียมจะเดินออกไปจากห้อง แต่ดันถูกอีกฝ่ายกอดรั้งไว้จากด้านหลังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยไปง่าย ๆ ฉันเองก็เอาแต่ร้องไห้ จนไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะแกะมือเขาออก กระทั่งยัยออมสินเดินเข้ามากระชากตัวเขาออกไปจากฉันได้สำเร็จ พลันยกเท้าขึ้นถีบใส่เป้าจนพี่กวินทิ้งเข่าลงไปนั่งกุมจุดสงวนอยู่ที่พื้น
“อี... อีออมสิน!”
ผู้ชายหยาบช้าในคราบเจ้าชายแสนดียกมือขึ้นมาชี้หน้าขู่ แต่ก็ต้องเบิกตาโพลง รีบยกมือขึ้นมาป้องกันหัวให้ตัวเองเมื่อพบว่ายัยออมสินเดินไปหยิบขวดไวน์ขึ้นมาเตรียมฟาด
“คิดว่ากูจะฟาดหัวมึงเหรอฮะ! กูแค่จะมาเอาไวน์เพื่อนกูคืน สันดานหมา ๆ แบบมึงไม่เหมาะกับไวน์ราคาแพงแบบนี้หรอก ไปแดกขี้หลังส้วมวัดโน่นไป!”
พูดจบก็รีบดึงแขนฉันออกจากห้องด้วยท่าทางฉุนเฉียว ถ้าไม่ติดว่ากำลังห่วงฉัน ยัยออมสินคงได้ฟาดไวน์ใส่หัวพี่กวินจริง ๆ นั่นแหละ