หลังจากที่คนโดนอัดจนน่วมถูกหามออกไป เจ้าของผับที่ยืนอยู่ข้างกันก็พ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ คล้ายกับต้องการไล่ความหงุดหงิด ก่อนจะหันมาจ้องมองที่ฉัน
“หวังว่าคงไม่ลืมที่ตกลงกันหรอกนะ”
“ดะ ได้ค่ะ เฮียจะเอาเท่าไหร่เหรอ”
ฉันเอ่ยพร้อมกับเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเอากระเป๋าสตางค์สีชมพูขึ้นมาถือ ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่นิ่งเงียบ พร้อมกับจ้องมองฉันด้วยสายตาแปลก ๆ หรือเพราะกระเป๋าฉันมันแบนไป ไม่น่าจะมากพอสำหรับจ่ายชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
“งั้นเดี๋ยวหนูโอนก็ได้ค่ะ”
ฉันว่าพลางเก็บกระเป๋าเงินไว้ที่เดิม แล้วเปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแทน แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดเข้าแอปโอนเงินในมือถือ อีกฝ่ายก็เอ่ยทักท้วงจนฉันหยุดชะงัก
“ฉันพูดตอนไหนว่าอยากได้เงิน”
“คะ?”
จริงด้วยแฮะ เขายังไม่พูดเลยนี่
“แล้วเฮียอยากได้อะไรคะ บอกมาเลย เดี๋ยวหนูซื้อมาให้”
“ฉันอยากได้คู่วันไนท์คืนนี้”
“...”
วันไนท์เหรอ เขาคงไม่ได้หมายความว่าอยากให้ฉันมีเซ็กซ์กับเขาคืนนี้หรอกถูกไหม? แต่สายตาที่โลมเลียฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแบบนี้ คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้วละ
“เฮียหมายถึง...”
“หมายถึงให้เธอมาเอากับฉัน นี่ก็พูดตรงแล้วนะ มันเข้าใจยากตรงไหน”
“...”
มันไม่ได้เข้าใจยากเลยสักนิด แต่มันแค่ทำใจยาก ซิงที่ฉันหวงแหนมาเท่าอายุ กำลังจะถูกมอบให้กับผู้ชายแปลกหน้าไปง่าย ๆ ถึงแม้เขาจะโคตรหล่อ และโคตรรวย แต่ฉันก็รักนวลสงวนตัวอยู่นะ!
“เงียบทำไม? จะเบี้ยวเหรอ”
“ปะ เปล่าค่ะ งั้นหนูขอจ่ายเป็นเงินแทนได้ไหมคะ แล้วเฮียค่อยเอาเงินไปซื้อหญิงขายบริการ”
“ฉันไม่อยากได้หญิงขายบริการ ฉันอยากได้เธอ”
อีกฝ่ายไม่ยอมเปลี่ยนเป้าหมาย เขาเริ่มขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับจับปลายคางของฉันเชิดขึ้นไปสบตาที่ทรงมหาอำนาจ
“เธอทำให้ฉันเสียเวลา เสียลูกค้า แถมยังเกือบจะเจ็บตัวโดยใช่เหตุอีกด้วย อ้อ! แล้วเธอทำฉันอยู่ยากขึ้นกว่าเดิมเพราะได้ศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าไอ้แฟนเก่าเธอมันจะหวนกลับมาเอาคืนฉันเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น... มันก็สมน้ำสมเนื้อแล้วไม่ใช่เหรอ กับสิ่งที่ฉันขอแลกเปลี่ยน”
ที่เขาพูดมามันก็ไม่ผิดเลยสักนิด หากจะผิด ก็คงผิดที่ฉันเองที่วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเขา เพียงเพราะเห็นว่าเขาหน้าตาดี โดยไม่ได้ถามให้ถี่ถ้วนก่อนว่าเขาต้องการอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน
“ว่าไง อย่าคิดนาน มันเสียเวลา”
เขาเร่งเร้าจนฉันไม่เหลือเวลาคิด จำต้องยอมเม้มปากแล้วพยักหน้าเบา ๆ อย่างจำยอม
“หึ ก็แค่นั้น”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจ คนร่างใหญ่ก็กระตุกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพยักพเยิดหน้าให้ฉันเดินตามออกไปข้างนอกเพื่อขึ้นรถของเขาที่จอดอยู่ในโซนวีไอพี
“เรา... จะไปไหนกันเหรอคะ”
“พอดีห้องวีไอพีสำหรับแขกมันเต็มหมดแล้วน่ะ เดี๋ยวพาไปโรงแรมม่านรูด”
เคยได้ยินแต่ชื่อ วันนี้ฉันจะมีโอกาสได้เข้าโรงแรมม่านรูดงั้นเหรอ แถมยังเข้าไปกับคนแปลกหน้าอีกด้วย ถ้าพ่อรู้ ฉันคงถูกตีจนสลบแน่ ๆ
ระหว่างทางขับรถไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา เราทั้งคู่ต่างนั่งอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งมาถึงโรงแรมม่านรูดตามที่เขาบอก ทว่ามันกลับไม่เป็นดังเช่นในละครหลังข่าวที่เคยดู มันไม่ได้เล็กกระจิ๋วและดูวังเวง แต่มันเป็นโรงแรมขนาดใหญ่เลยละ
“หนึ่งคืน”
มาถึงเขาก็เดินนำฉันไปที่เคาน์เตอร์ วางเงินลงปึกหนึ่ง จากนั้นก็หยิบกุญแจจากพนักงานเดินนำฉันขึ้นไปที่ชั้นบน มาถึงก็ไม่พูดพร่ำ รีบไขประตูผลักเข้าไป ก่อนจะถลกเสื้อแล้วปาทิ้งลงพื้นไปอย่างไม่แยแส
“ดะ เดี๋ยวค่ะ”
ฉันร้องปรามเสียงหลงในจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังปลดเข็มขัดออกจากตัว นาทีนี้เหมือนเพิ่งจะตื่นตัว เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมากจนตั้งรับไม่ทัน
“อะไร?”
เสียงห้วน ๆ เอ่ยถาม บ่งบอกถึงความเอือมระอาเต็มทน
“ขอเวลาทำใจอีกหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิ หนึ่ง...”
“คะ?”
“สอง...”
“ฮะ!”
นี่เขานับอะไรเนี่ย
“สาม! หมดเวลาทำใจแล้ว”
พึ่บ!
ร่างเล็กถูกจับเหวี่ยงลงเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัวจนหน้าคะมำ ฉันยังไม่ทันได้เอ่ยปากคัดค้านซ้ำอีกรอบก็ถูกคนตัวหนาโน้มลงมาคร่อมทับพร้อมกับจับเรียวแก้มฉันเชิดขึ้นไปประกบจูบอย่างฉวยโอกาส
บอกตามตรงว่าตอนนี้เริ่มสติแตก ใช่ว่าฉันกับไอ้พี่กวินจะไม่เคยจูบกัน แต่มันนุ่มนวลและอ่อนโยน ต่างจากสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้ามอบให้ เขาจู่โจมจนฉันหายใจไม่ออก ยามปลายลิ้นบุกล้ำเข้ามาควานหารสหวานภายในโพรงปากนุ่ม
“อื้ออ”
แม้นี่จะเป็นจูบที่ดูดดื่มราวกับต้องการจะกระชากวิญญาณ แต่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่ามันสามารถดึงอารมณ์ด้านมืดของฉันออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
กลิ่นเหล้าเคล้าบุหรี่อ่อน ๆ จากริมฝีปากของเขากำลังทำให้ฉันถูกผลักลงไปสู่อีกห้วงหนึ่ง จากที่คิดจะต่อต้าน กลับกลายเป็นฉันที่ครางกระเส่าออกมาด้วยความพอใจ
มือหนาค่อย ๆ สอดเข้ามาในเสื้อตัวบาง ทั้งที่ปากยังคงบดจูบฉันนาบไปกับเตียงอย่างไม่ยอมลดความดุดัน ก่อนที่เขาจะหยุดชะงักแล้วผละตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย
“หยุดทำไมเหรอคะ”
ฉันเอ่ยถามเสียงหอบกระเส่า สายตาฉ่ำปรือจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความอยากกระสัน เขาทำให้ฉันกระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะโดนเปิดซิง แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนทิ้งให้ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
“ไปไหนคะ!”
ฉันลุกพรวดขึ้นมานั่งทันทีหลังจากที่เฮียคินน์ผละตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง พอเอ่ยถามออกไปเขาก็ไม่สนใจที่จะตอบ แล้วยังปิดไฟจนทำให้ทั่วห้องมืดสนิท
ตอนแรกฉันก็นึกว่าเขาอยากจะปิดไฟเพื่อที่ฉันจะได้ไม่รู้สึกเคอะเขิน แต่ผิดคาด เพราะเขาเอาแต่เปิดและปิดซ้ำ ๆ สองถึงสามครั้ง ระหว่างนี้ก็กวาดสายตาสำรวจไปทั่วห้อง
“มีอะไรเหรอคะ”
“กล้อง”
“ฮะ!”
เขาไม่พูดเปล่า รีบสาวเท้ายาว ๆ ไปหยิบบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ที่แอร์และหลังตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็เดินไปหยิบเสื้อขึ้นมาสวมใส่
“มีคนแอบถ่ายเราเหรอคะ?”
ฉันตื่นตระหนกจนใจเต้นระรัว รีบลุกขึ้นมาจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่แล้ววิ่งตามเฮียคินน์ออกไปนอกห้อง
มาถึงเคาน์เตอร์เฮียก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เขาวางกล้องลงอย่างใจเย็น พร้อมกับจ้องหน้าพนักงานผู้ชายวัยย่างเข้าสามสิบที่กำลังให้บริการ ณ จุดนี้
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณลูกค้า”
พนักงานเอ่ยถามอย่างละล่ำละลักพลางจ้องมองกล้องตัวจิ๋วตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ของมึงใช่ไหม?”
“ปะ เปล่านะครับ”
“กูถามอีกครั้ง!! ใช่ของมึงไหม?”
เสียงที่ตะคอกแรงขึ้นทำให้ทั้งฉันและคนถูกตะคอกหน้าเสียไปตาม ๆ กัน
“ผะ ผม...”
ชายที่ถูกกล่าวหาเริ่มกลอกสายตาล่อกแล่กหาช่องทางหลบหนี เมื่อเห็นว่าได้จังหวะเขาก็วิ่งพรวดออกไปด้วยความตื่นกลัว แต่ดันช้าไปกว่าปิศาจร้ายที่หมายจะเอาเรื่อง
“มึงอยากดูคนเอากันนักใช่ไหม! งั้นดูซะให้เต็มตา!!”
ผลัวะ ผลัวะ!
เฮียคินน์กระชากคอเสื้อเขากลับมาได้ทัน ก่อนจะประเคนหมัดหนัก ๆ เข้าไปที่ตาอย่างไม่ยั้งแรง
“กรี๊ดด! ฮะ เฮีย พอแล้ว!”
ฉันเต้นเร่าด้วยความกลัวจับใจ รีบวิ่งเข้าไปห้ามแม้จะไม่ได้ผล กว่าเขาจะยอมหยุดก็ตอนที่ใบหน้าอีกฝ่ายปูดโปนเคล้าเลือดสภาพดูไม่ได้
“อย่าคิดว่ากูจะปล่อยมึงไปง่าย ๆ นะ”
เฮียคินน์กระทืบซ้ำในช่วงท้าย ก่อนจะลากแขนฉันออกมาขึ้นรถด้วยความฉุนเฉียว โดยที่ฉันเองทำได้เพียงนั่งตัวแข็งทื่อมองดูเขาฟึดฟัดทุบพวงมาลัยเพื่อระบายอารมณ์ที่ยังค้าง
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวอะไรขนาดนี้เนี่ย ถ้าฉันเปิดประตูรถแล้ววิ่งหนีออกไปตอนนี้จะยังทันไหม? หรือถ้าเขาจับได้ ฉันอาจจะโดนหนักกว่าเดิม อะไรมันจะซวยขนาดนี้วะเนี่ยย!!