หลังจากกลับมาถึงที่บ้าน ปรางค์วลัยก็เดินตรงขึ้นห้องเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอหายเข้าไปในห้องน้ำนานจนเมฆาที่กลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านตัวเองภายในเวลาไม่กี่นาทีแล้วรีบกลับมารอหญิงสาวต้องขึ้นมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าปรางค์วลัยไม่ได้เป็นลมเป็นแล้งไปในห้องน้ำ
นั่งรออยู่นาน ในที่สุดหญิงสาวก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยดวงตาที่แดงช้ำ เป็นการบอกว่าการที่เธอหายไปนานเพราะเธอต้องการเวลาในการร้องไห้คนเดียว
ปรางค์วลัยไม่มีแรงแม้แต่จะบ่นชายหนุ่มที่เข้าห้องนอนของเธอมาโดยพละการด้วยซ้ำ เธอทำเพียงแค่เดินมาหยิบชุดกระโปรงสีดำจากตู้เสื้อผ้าแล้วเดินกลับห้องน้ำไปเงียบๆ ไม่นานก็กลับออกมาในสภาพที่เรียบร้อย
“จะแต่งหน้าหน่อยไหม”
“แค่ลิปอย่างเดียวก็พอค่ะ”
“อืม พี่ลงไปรอข้างล่าง”
“ค่ะ”
เมฆาลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วเดินลงไปยังชั้นล่าง ปล่อยให้ปรางค์วลัยได้มีเวลาแต่งแต้มใบหน้าไม่ให้ซีดเซียว และเพียงไม่นานหญิงสาวก็เดินลงมาด้วบใบหน้าที่ดูดีกว่าเดิม
“ไปเถอะ เดี๋ยวต้องไปรับแขกอีก”
“ค่ะ”
หญิงสาวเดินออกไปหน้าบ้าน ปล่อยให้เมฆาเป็นคนปิดล็อกบ้านให้เธอ เหมือนตอนขากลับมาเมื่อบ่าย ที่เขาเป็นคนเปิดประตูบ้านให้เธอ
เมื่อมาถึงที่วัด หญิงสาวก็เดินไปนั่งนิ่งอยู่หน้ารูปของมารดา ปล่อยให้เมฆาเป็นคนจัดการทุกอย่างให้เธอ โดยมีชยกรและชมพูแพรช่วยในหารจัดของชำร่วย
เมื่อแขกเริ่มทยอยมา ปรางค์วลัยก็ถูกเมฆาดึงให้มายืนต้อนรับแขก หญิงสาวจึงไม่มีเวลาได้ซึมเศร้าเสียใจมากนัก แต่มันก็ทำให้เมฆาและชมพูแพรโล่งใจ
เมื่อพระลงศาลา หญิงสาวมองสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะเดินไปนั่งด้านหน้า เมฆาเองก็ตามไปนั่งด้วย เขาคอยมองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง เห็นได้ชัดว่าปรางค์วลัยน้ำตารื้นเป็นระยะ แต่เธอก็กลั้นเอาไว้
“ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
“อดทนอีกนิดนะ”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มกระซิบถามปรางค์วลัยเบาๆ เมื่อเห็นว่าเธอยังพอฝืนไหวก็โล่งใจ สายตาคมกวาดมองไปที่แขกเพื่อสำรวจว่ามีอะไรขาดเหลือหรือไม่ จนเมื่อถึงเวลากรวดน้ำ เขาก็จับมือบางให้มากรวดน้ำพร้อมกับเขา ก่อนจะเห็นว่ามีหยาดน้ำใสร่วงหล่นมาจากดวงตาของหญิงสาว
“ตูนนั่งอยู่กับแม่ไปนะ เดี๋ยวพี่ส่งแขกให้”
หญิงสาวไม่พูดอะไร เธอมองสบตาเขาแล้วขยับใบหน้าเบาๆ รอจนเมฆาลุกออกไป จึงนั่งมองรูปของมารดาด้วยความอาลัย
ทางด้านเมฆาที่ลุกมาช่วยชมพูแพรส่งแขก เขได้แต่ถอนหายใจแล้วคอยมองหญิงสาว จนชมพูแพรกับชยกรต้องคอยเรียก
“หมอเมฆ มองยัยตูนไม่คลาดสายตาเลยค่ะพี่หนึ่ง” หญิงสาวตัวเล้กพูดกับแฟนหนุ่มเมื่อเธอยืนแจกของชำร่วยแต่สายตาดันเห็นเมฆาที่อยู่ตรงหน้าพอดี
“มันก็ห่วงของมันนั่นแหละ คนเห็นกันมาตั้งแต่เด็กเนอะ” ชยกรออกความเห็นกลางๆ
“ก็คงงั้นมั้งคะ ยัยตูนซึมมากเลยนะคะ คืนนี้จะผ่านไปได้ยังไง ชมพูเป็นห่วงจัง ปกติตูนอยู่กับแม่แค่ 2 คน คืนนี้คืนแรก ที่ตูนต้องอยู่คนเดียวอย่างเต็มตัว เมื่อคืนจะนับเป็นคืนแรกก็ไม่ได้ เพราะค่อนคืนแล้ว กว่าที่ยัยตูนจะกลับมาที่บ้าน”
“เดี๋ยวเมฆมันคงมาอยู่ด้วยนั่นแหละ”
“ค่ะ”
หลังจากช่วยกันแจกของรำช่วยและส่งแขกจนหมด ศาลาก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง เมื่อทั้งศาลามีเพียง ปรางค์วลัยที่ยังนั่งซึม เมฆาที่จัดการทุกอย่างให้ ชยกรและชมพูแพรที่คอยช่วยงาน
สองหนุ่มสาวเดินมานั่งลงข้างปรางค์วลัยที่ยังนั่งเงียบอยู่ ชมพูแพรจับมือของเพื่อนสนิทมาบีบเบาๆเป็นการให้กำลังใจโดยไม่ได้พูดอะไร
“กลับไปพักเถอะแก พรุ่งนี้จะได้มีแรง”
“อื้ม”
ปรางค์วลัยส่งแรงบีบที่มือเป็นการบอกให้ชมพูแพรรู้ว่าเธอยังไหว ไม่นานเมฆาก็เดินเข้ามาหาแล้วดึงให้ชยกรออกไปเอารถพร้อมกัน
เมื่อเมฆากับชยกรไม่อยู่ ปรางค์วลัยก็ปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นมาทั้งวันไหลออกมาไม่ขาดสาย
“ฉันจะอยู่คนเดียวให้ไหวได้ยังไง” ปรางค์วลัยพึมพำออกมาเบาๆ
“ตอนนี้อาจจะยังไม่ไหว แต่เมื่อแกพร้อม แกต้องเดินหน้าต่อนะ อย่าทำให้แม่เป็นห่วง” ชมพูแพรเอ่ยปลอบใจเพื่อนสนิทเบาๆ
“ฉันรู้ แต่ฉันยังต้องการเวลา ฉันยังไม่ได้ลาแม่เลย”
“แม่อาจจะไม่อยากให้แกเห็นตอนแม่จากไปก็ได้นะ แม่คงไม่อยากให้แกทุกข์ที่ต้องเห็นแม่จากไปกับตา”
“ฉันว่าถ้าฉันได้ลาแม่ ฉันคงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้”
“แกต้องยอมรับสิ่งที่แม่ตัดสินใจนะ”
“อื้ม ฉันแค่ต้องการเวลา”
“ฉันเข้าใจ”
สองสาวคุยกันเบาๆ จนกระทั่งรถยนต์สองคันขับมาจอดที่หน้าศาลา จึงพากันลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่รถ ชมพูแพรรอจนปรางค์วลัยขึ้นรถเรียบร้อย เธอถึงขึ้นรถและบอกให้ชยกรขับออกไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เมฆาก็เปิดประตูให้หญิงสาวเหมือนเดิม แต่ในขณะที่กำลังเปิดประตูอยู่ ก็มีคนเดินเข้ามา เมฆาจึงเดินกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำ ปล่อยให้ปรางค์วลัยอยู่คุยกับผู้มาใหม่เองคนเดียว
“ตูน
“พี่รุจ”
“หายไปไหนมาทั้งวัน พี่ติดต่อไม่ได้เลย” นพรุจพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“สงสัยโทรศัพท์ตูนแบตหมดน่ะค่ะ”
“แล้วน้าปริมล่ะ พี่มาดูตั้งหลายรอบ เห็นปิดบ้านเงียบเลย”
“แม่อยู่ที่วัดค่ะ คืนนี้สวดคืนแรก ขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“น้าปริม.....เสียแล้วเหรอ”
“ค่ะ เมื่อคืนค่ะ”
“พี่เสียใจด้วยนะ อยู่ที่วัดไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปช่วย”
“วัดใหม่ฯค่ะ”
“จ้ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปช่วยงานนะ”
“ขอบคุณค่ะ งั้นตูนขอพักก่อนนะคะ”
“จ้ะ มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ปรางค์วลัยรอส่งจนนพรุจเดินหายลับไปจากสายตา เธอจึงเดินกลับเข้าบ้านไปเงียบๆโดยไม่ได้ปิดล็อกประตูบ้าน เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานเมฆาก็คงตามเข้ามา
ไม่นานเมฆาก็เดินเข้ามาในบ้านปรางค์วลัยโดยไม่ลืมปิดล็อกให้จนแน่นหนา เขาเข้าครัวเตรียมของกินให้หญิงสาวรองท้อง ไม่นานก็ขึ้นไปชั้นบน เคาะประตูห้องนอนห้องหลังเบาๆ
“คะ” ประตูถูกเปิดแง้มออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวยืนอยู่
“ไปกินอะไรรองท้องเถอะ”
“ไม่กินได้ไหมคะ”
“ไม่ได้จ้ะ ไปกินรองท้องหน่อยเถอะ ยังต้องจัดการอีกหลายอย่างหลายวันนะ”
“ก็ได้ค่ะ”
หลังจากรับคำ หญิงสาวก็ก้าวเท้าออกมาจากหลังประตู เมฆาได้แต่ส่ายใบหน้าเบาๆเมื่อเห็นการแต่งตัวของหญิงสาว นี่เธอไม่คิดจะระวังตัวจากเขาเลยหรือยังไง
ร่างสูงเดินนำหญิงสาวลงไปยังชั้นล่าง แล้วจัดการยกชามข้าวต้มมาวางบนโต๊ะอาหาร รอจนข้าวต้มคำแรกถูกตักเข้าปากของเจ้าของบ้านแล้ว เขาถึงนั่งลงแล้วจัดการข้าวต้มในชามของตัวเอง
มื้ออาหารผ่านไปเงียบๆ จนกระทั่งข้าวต้มในชามตรงหน้าปรางค์วลัยพร่องลงไปเกือบครึ่ง หญิงสาวจึงรวบช้อนแล้วดันยกน้ำขึ้นดื่มเป็นการบอกว่าเธอกินไม่ไหวแล้ว
“ขึ้นไปพักเถอะ นั่งสักครึ่งชั่วโมงล่ะ อย่าเพิ่งเอนตัวลงนอน”
“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“ราตรีสวัสดิ์”
ร่างสมส่วนของปรางค์วลัยลุกขึ้น ก้าวเดินช้าๆไปที่บันได ก่อนจะหายไปยังชั้นบนพร้อมกับเสียงปิดประตูเบาๆ
เมฆามองตามแล้วได้แต่ถอนหายใจ ปกติปรางค์วลัยเป็นคนที่ระวังตัวมาก แต่นี่หญิงสาวปล่อยปละละเลยทุกอย่าง แม้แต่การที่เธอรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวเขาจะต้องเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่กลับไม่ระวังตัว ไม่ใส่บราทั้งที่ชุดอนอนของเธอมันบางจนแทบจะเห็นทุกอย่าง
เห็นทีเขายังต้องคอยดูแลหญิงสาวอีกหลายวันเลยทีเดียว กว่าที่เธอจะตั้งสติและกลับมาเป็นหญิงสาวคนเดิม
ร่างสูงเดินไปสำรวจประตูบ้านอีกครั้ง แล้วปิดผ้าม่านลง ปิดไฟดวงใหญ่ เปิดเอาไว้เพียงไฟตรงบันไดเอาไว้เท่านั้น
“ยัยปลาการ์ตูน หวังว่าเธอจะผ่านคืนนี้ไปให้ได้นะ.....” เสียงพึมพำที่เจือความเป็นห่วงดังออกมาเบาๆ ก่อนที่ร่างสูงจะเอนกายนอนราบลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า แล้วหลับไปแทบจะทันที