EP.10หนี ครั้งสุดท้าย

1137 คำ
"อีเด็กบ้า!" หลังเสียงตะโกนลั่นทำให้เนตรมิงค์ตกใจ เธอลืมตาขึ้นมองก็เห็นผู้ชายที่ยืนตรงหน้าร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมทั้งมีเลือดกลบปาก ร้านสัก หาญทยานศึก "เป็นบ้าอะไรยืนนิ่งมันจะหอมแก้มเธออยู่แล้วนะ" ภาพที่เห็นคือไอ้ผู้ชายคนหนึ่งโน้มตัวลงคล้ายจะลวนลามผมจึงรีบวิ่งแล้วสวนหมัดเข้าอย่างจัง "ตอบสิ!" "หนูทำโทรศัพท์ของพี่พังแล้วเขาจะต้องเอาเงินซ่อมหนูไม่มีทางเลือกเขาให้พันห้าบาท" "แปลว่าตัวของเธอมีค่าแค่นั้นใช่ไหม!" "ปะ เปล่านะคะ" "ไม่ต้องมาแก้ตัว!" อารมณ์ชายตัวใหญ่ฉุนเฉียวรุนแรงจนตวาดลั่นร้านสักของตัวเองแต่สักพักเพื่อนสนิทอย่างสองก็รีบห้ามปรามไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียด "ใจเย็นไอ้ห่าน้องมันยังเด็กอยู่เลยอีกอย่างไอ้สัสนั่นก็โตกว่าตั้งเยอะอาจจะมีการพูดทำให้หลงเคลิ้มอะไรแบบนี้" "อายุสิบห้านะไม่ใช่ห้าขวบต้องคิดก่อนที่จะทำสิวะกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงโตมา จู่ๆ ให้ผู้ชายหอมแก้มเพราะเงินพันห้าบาทโง่หรือเปล่า!" "เออ ใจเย็น" เหมือนสถานการณ์จะเริ่มเบาลงเพราะเนตรไม่โต้เถียงเธอได้แต่พูดว่าขอโทษและยอมรับผิดจนเวลาผ่านไปสักพัก นะโม ตัสสะ----- "โคตรเท่เลย" สองเอ่ยขณะนั่งอยู่บนเตียงใช้สักมองเนตรมิงค์ที่นั่งบนโฟซากำลังยกมือพนมสิบนิ้ว "มึงสอนน้องโดยการเปิดบทสวดให้ฟังเนี่ยนะไอ้หาญ!?" "กูไม่เคยบวชไงกูจะสอนยังไงสัพเพสัตตากูยังลืมเลย" "ไอ้ห่า ฮ่าๆ" "ธรรมะมันเยียวยาทุกอย่างนั่นแหละนั่งสวดไปเลยนะตั้งใจสวดด้วย" "ใครเขาสอนกันแบบนี้วะไอ้หาญ ฮ่าๆ" กระทั่งเวลาผ่านไปทุกคนต่างแยกย้ายโดยที่หาญขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งเนตรมิงค์ที่บ้านท้ายซอย "ส่วนโทรศัพท์ฉันก็ปล่อยให้มันพังไป" เมื่อเด็กนี่ก้าวลงรถผมจึงบอกกล่าว "ทีหน้าทีหลังมีอะไรให้มาบอกฉันตามตรง" "หนูขอโทษอีกครั้งนะคะ" "สอนสั่งไปหัดจำไว้ด้วยไม่ใช่เอาแต่ขอโทษ" "หนูจำได้แล้วค่ะ นะโมตัสสะ.." "พอ!ฉันฟังจนจะเป็นเจ้าอาวาสอยู่แล้วเนี่ย" สาวน้อยทำแก้มป่องอดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อชายตรงหน้าฟัดเหวี่ยงแต่เขามักจะแวะเล่นมุกเสมอ รอยยิ้มแสนหวานส่งให้พร้อมกับเดินเข้าบ้านไป หลายวันต่อจากนั้น ทุกอย่างอยู่ในสภาวะปกติเนตรมิงค์ตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นมัธยมปลายเธอหยิบชุดมาลองสวมใส่แต่กลับมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว โต้มมม "รีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของเราจะย้ายไปอยู่ที่อื่น" "เกิดอะไรขึ้นคะพ่อ..?" "ไม่ต้องถามมากแล้วไปเก็บของให้อีกิฟท์ด้วยนะ พี่สาวแกกำลังจะกลับมาแต่ฉันกลัวว่าจะไม่ทัน" "พะ พ่อ" ฉันตะโกนตามหลังแต่พ่อรีบลุกลี้ลุกลนเกินคาดเหมือนหนีอะไรสักอย่าง แต่ด้วยความเป็นลูกจำเป็นต้องเชื่อฟังรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าใบใหญ่และต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าเพราะต้องไปเก็บของให้พี่สาวด้วย "พ่อนะพ่อไม่น่าเลยกิฟท์กำลังคบกับผู้ชายแถวนี้ถ้าต้องไปก็เลิกกันน่ะสิ" เสียงบ่นอุบอิบ "ไปอยู่จังหวัดใหม่จะได้เจอผู้ชายใหม่ยังไงล่ะลูก" "ก็จริงของพ่อ" "เอาเถอะว่าแต่เราค่อยคุยกันรีบไปจากที่นี่กันเถอะ" หลังจากเนตรเก็บข้าวของเสร็จก็หอบหิ้วด้วยตัวคนเดียวทุกอย่างก่อนจะรับรู้ว่าพ่อยักยอกเงินบริษัทมาใช้เป็นจำนวนมาก เมื่อถูกจับได้จึงจะโดนแจ้งข้อหาพร้อมกับยึดทรัพย์จนต้องรีบหนีไปตั้งหลักในถิ่นต่างจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอน "ไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม" พ่อถามเสียงแข็งใส่ลูกสาวคนเล็กที่กำลังเหนื่อยหอบ "หนูเก็บข้าวของจำเป็นและเอกสารเรียบร้อยแล้วค่ะพ่อ" "เออดี เผื่อพวกมันดักรอคงอีกหลายปีที่จะไม่ได้กลับมาหรือไม่ก็อาจจะไม่กลับมาเลยก็ได้" ผู้เป็นพ่อขนข้าวของใส่ท้ายกระบะรถเก๋งคันเก่าซึ่งเป็นมรดกชิ้นสุดท้าย "พ่อทำไมไม่ขายบ้านนี้ล่ะ" กิฟท์ถามอย่างข้องใจเมื่อเห็นพ่อมองแต่บ้านที่กำลังจะจากไป "ขายไม่ได้หรอกเป็นชื่อแม่ของเนตรมิงค์" "เห็นแก่ตัวดีจังเลยนะบ้านก็ไม่ยอมเซ็นยกให้พ่อแถมยังหนีหายทิ้งอีเนรตไว้ให้อีก" "ช่างหัวมันเถอะเรารีบไปกันก่อนที่พวกนั้นจะมาจับพ่อ" หลังจากเก็บของเรียบร้อยเด็กหญิงเหลียวมองบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดจากนั้นก็ค่อยๆ ขึ้นรถไปนั่งที่เบาะหลังส่วนพี่สาวนั่งเคียงข้างพ่ออยู่เบาะหน้า บรื้นนนนน รถแล่นออกไปได้สักพักแต่วันนี้มีตลาดนัดจึงทำให้การขยับเขยื้อนจราจรติดขัด "ติดห่าอะไรนักหนาวะ เพิ่งจะกี่โมงกี่ยามเองเนี่ย" พ่อใจร้อนทั้งบ่นทั้งด่า สักพักเนตรก็นึกอะไรบางอย่างได้เธอจึงเขยิบตัวมานั่งติดกระจกฝั่งซ้ายแทน ร้าน หาญทยานศึก เรื่อย เรื่อย ~มาเลียง เลียง~ ฮื้อ อ๊า เสียงดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่หน้าร้านสัก วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหล่าชายหนุ่มวัยมันมารวมตัวกันเพื่อสังสรรค์โดยมีสองเป็นหัวโจกเช่นเคย "โซดามาให้กูหน่อยสิ" ผมชี้นิ้วก่อนจะคว้ามาผสมเหล้าที่อยู่ในแก้ว "เอาน้ำเปล่ามาด้วย" "ปกติกินเพียววันนี้เสือกอยากผสมนะ" "แล้วมันไปหนักส่วนไหนของมึงฮะ" "ช่วยพูดจาดีกับกูหน่อยครับกูเพื่อนมึงนะ" "เพื่อนไม่ใช่พอ!" ปริ๊บบบ ผมกำลังทะเลาะกับไอ้สองตามปกติแต่เสียงแตรทำให้ผละจากการโต้เถียง พวกผมเลี้ยวขวามองเพราะรถจอดยาวเหยียดกระทั่งบังเอิญเห็นสายตาคู่หนึ่งอยู่ในรถเก๋งคันเก่า บางอย่างทำให้ผมชะงักเมื่อดวงตาใสซื่อนั้นเป็นของเด็กเนตรนารี..แต่วันนี้กลับนั่งอยู่ในรถตรงเบาะหลัง สักพักรอยยิ้มหวานก็ส่งตอบกลับมาให้ผมพร้อมกับมือน้อยยกขึ้นโบกในท่า บาย บาย อีกทั้งแววตาคล้ายจะมีน้ำใสคลออยู่ และนั่นทำให้ผมรู้สึกหดหู่คล้ายโลกนี้เหมือนจะหยุดหมุน โดยที่ผมไม่รู้ว่าหลังจากวันนั้นที่ได้พบเจอกันกลับกลายเป็นครั้งสุดท้าย..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม