“ซื้อบ้านก็เป็นหนี้ก้อนใหญ่เลยนะ อีกอย่างอยู่บ้านนี้ก็ดีอยู่แล้ว แค่พื้นที่ก็กว้างขวางอากาศก็ดีกว่าอยู่ในตัวเมืองตั้งเยอะแน่ะ ถ้าอยากซื้อบ้านใหม่จริงๆ ก็รอโดมมีแฟนแต่งงานมีครอบครัวค่อยซื้อดีกว่าจ้ะ”
“แล้วถ้าพี่ดรีมแต่งงานมีครอบครัว พี่ดรีม...จะอยู่ที่นี่มั้ยครับ”
“ก่อนจะถามเรื่องแต่งงานมีครอบครัว ถามก่อนมั้ยว่าพี่หาแฟนได้ยัง” เธอบอกยิ้มๆ
“ก็พี่ดรีมไม่ยอมหาเองนี่นา ที่บริษัทไม่มีใครเข้าตาบ้างเลยเหรอครับ”
“แล้วใครเป็นคนบอกให้พี่สวมแว่นไว้ตลอดล่ะ”
“โธ่ ก็ตอนนั้นผมหวงพี่มากนี่นาเลยพูดไปอย่างนั้นเอง ใครจะไปรู้ว่าพี่จะใส่แว่นมานานขนาดนี้กันล่ะ แต่ผมพูดจริงๆ นะพี่ดรีม พี่สาวผมก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ซะหน่อย ถ้าถอดแว่นออกนะ ผมว่าดาราสาวหลายๆ คนยังสู้ไม่ได้เลย ทำไมถึงยังหาแฟนไม่ได้ซะทีล่ะครับ ผมว่าคงไม่ใช่เพราะแว่นนี่หรอกมั้ง พี่ไม่ยอมหาเองรึเปล่า”
ได้ยินน้องชายพูดแบบนั้นเธอก็เผลอคิดไปถึงคำพูดของเจ้านายหนุ่มรวมถึงข้อเสนอที่เธอไม่แน่ใจว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่
“แน่ะ มีแล้วสินะครับถึงได้หน้าแดงเชียว” เสียงน้องชายปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์
“พี่เหรอหน้าแดง” เธอยกมือขึ้นกุมแก้มนุ่มทั้งสองเอาไว้แล้วก็พบว่ามันร้อนผ่าวอย่างไรชอบกล
“ก็พี่น่ะสิครับ แปลว่ามีแล้วใช่มั้ย”
“มีอะไรจ๊ะ”
“ก็คนที่เข้าตาไงครับ ใครเหรอ บอกผมบ้างสิ เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้ว่าผู้ชายคนนั้นจริงจังหรือจริงใจรึเปล่า”
“ไม่มีหรอกจ้ะ พี่คงไม่ค่อยสบายมั้งเลยหน้าแดง เหมือนจะปวดหัวนิดๆ น่ะ” เธอแกล้งบอก
“อ้าวเหรอครับ ปวดมากมั้ยเดี๋ยวผมหายาให้”
“ไม่เป็นไรจ้ะคงเพลียจากการขับรถน่ะ เดี๋ยวนอนพักคงหาย รีบกินข้าวเถอะ พรุ่งนี้พี่ว่าจะแวะไปใส่บาตรให้พ่อกับแม่ที่หน้าตลาดก่อนเข้าบริษัทหน่อย”
“ก็ได้ครับ แต่ผมพูดจริงนะเรื่องที่ว่าผมช่วยดูให้ได้น่ะ ผู้ชายด้วยกัน มองตาแป๊บเดียวก็รู้ครับว่ามาดีหรือร้าย”
“จ้า เอาไว้ให้พี่หาได้สักคนก่อนนะ แล้วจะพามาให้ดูตัว”
“โอเคครับ” หนุ่มหล่อยิ้มแป้น แต่สักพักก็รู้สึกแน่นหน้าอกจนต้องยกมือขึ้นนวดเบาๆ ทำให้เหมือนฝันมองอย่างสงสัย
“เป็นอะไรน่ะโดม”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร แค่...รู้สึกจุกเสียดตรงหน้าอกนิดหน่อย สงสัยอาหารไม่ย่อยมั้ง”
“อาหารไม่ย่อยทำไมไปจุกตรงหน้าอกล่ะ ไปหาหมอดีมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ กินข้าวเถอะครับ ผมก็ชักจะง่วงแล้วเหมือนกัน”
“ดีขึ้นแล้วแน่นะ” เธอมองเขาอย่างไม่สบายใจนัก
“แน่ครับ” เขารีบบอกเพื่อไม่ให้เธอเป็นกังวลไปด้วย แม้ช่วงนี้เขาจะมีอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่ค่อยออกอยู่บ่อยๆ แต่ก็คิดว่าเขาคงพักผ่อนน้อยเกินไปเพราะอ่านหนังสือจนดึกเกือบทุกคืนนั่นเอง
หลายวันต่อมา
“เฮ้ยไอ้โดม ส่งลูกมาสิวะ มัวแต่ยืนทำอะไรอยู่”
เสียงของวฤทธิ์ตะโกนเรียกอยู่กลางสนามบาสเกตบอลในขณะที่พวกเขากำลังเล่นบาสหลังเลิกเรียนเหมือนทุกวันโดยมีเหล่าสาวๆ ทั้งในคณะและต่างคณะมาคอยส่งเสียงกรี๊ดอยู่ข้างสนามไม่ขาดสาย
ซึ่งปกติแล้วคนที่เล่นเก่งที่สุดในกลุ่มก็คือเมธาวิน แต่วันนี้เขากลับดูคล้ายไม่มีสมาธิและหยุดชะงักระหว่างเล่นอยู่หลายครั้ง
“ไอ้โดม มึงเป็นไรวะ ไม่สบายเหรอ” คีตกาลเดินเข้ามาหาคนที่ยกมือขึ้นกุมอกซ้ายของตนเอง แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัวเพื่อนอยู่ดีๆ เมธาวินก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขาท่ามกลางเสียงร้องที่แสดงถึงความตกใจของสาวๆ รอบสนาม
“เฮ้ย! ไอ้โดม!”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน ก่อนที่โลกทั้งใบจะมืดสนิทลงไป
และเมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็มองเห็นเพดานสีขาวที่ดูไม่คุ้นตานักและเมื่อเขาหันมองไปรอบตัวอย่างช้าๆ เขาก็พบกับคณานางค์ที่นั่งอยู่ข้างเตียงเพียงลำพัง
“คะน้า...พี่...อยู่ไหน ห้องพยาบาลเหรอ”
“ไม่ใช่ห้องพยาบาลค่ะ แต่เป็นโรงพยาบาล พี่โดมเล่นบาสแล้วก็เป็นลมไป จำได้รึเปล่าคะ” เธอรีบขยับตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงของเขาแล้วมองเขาอย่างตื่นเต้น เพราะตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมา เธอเอาแต่ภาวนาขอให้เขาไม่เป็นอะไรอย่างที่หมอบอก
“จำได้ แล้ว...ใครพาพี่มาที่นี่ล่ะ คะน้าเหรอ”
“พี่ฤทธิ์กับพี่โน้ตพามาค่ะ หนูตามมาทีหลัง”
“แล้วไอ้สองตัวนั้นไปไหนแล้วล่ะ”
“ลงไปหาอะไรกินค่ะ เดี๋ยวคงขึ้นมา พี่โดมอยากดื่มน้ำมั้ยคะ เดี๋ยวหนูจัดการให้”
“ไม่เป็นไรครับ แล้ว...หมอบอกรึเปล่าว่าพี่เป็นอะไร”
“หมอไม่ได้บอกค่ะ เค้าบอกแค่ว่าถ้าพี่ฟื้นให้ไปตามเดี๋ยวเค้าจะบอกพี่เอง งั้นหนูไปตามหมอเลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
เมธาวินมองเธอก้าวออกไปจากห้องนั้น ไม่นานเธอก็กลับเข้ามาพร้อมคุณหมอ ซึ่งเขาก็ตรวจอาการคนป่วยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นยังไงบ้างครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนอยู่รึเปล่า เพื่อนของคนไข้บอกว่าคุณมีอาการเจ็บหน้าอกแล้วก็หมดสติไปเลยใช่มั้ยครับ”
“ครับ ช่วงนี้ผมรู้สึกแน่นหน้าอก ใจหวิว ใจสั่น มีเหงื่อซึมบ่อยๆ แล้ววันนี้ก็หน้ามืดจนหมดสติไปอย่างที่เพื่อนบอกครับ”
“แน่นหน้าอกบริเวณไหนครับ ตรงนี้รึเปล่า”
คุณหมอกดตำแหน่งบริเวณกลางอกเยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย