เสนาบดีซ่งจำต้องกลับออกไปอย่างเสียใจ หากเขาไม่เข้าวังตามคำขอของม่านอวี้ นางจะถูกคุมขังเช่นนี้หรือไม่
“ถังกงกง ข้าฝากท่านช่วยดูแลบุตรีของข้าด้วย” เสนาบดีซ่งเอ่ยบอกถังกงกงที่หน้าตำหนัก
“ท่านเสนาบดีซ่ง บุตรีของท่านมิเป็นอันใดหรอกขอรับ ฝ่าบาทเพียงต้องการให้นางเปลี่ยนใจเท่านั้น พรุ่งนี้ก็คงปล่อยตัวนางกลับจวนแล้ว”
“ขอบใจเจ้ามาก” เสนาบดีซ่งเดินคอตกออกจากวังหลวงไป
“หึ ทำอันใดไม่ปรึกษาเจิ้นเสียก่อน แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป” ฮ่องเต้ถลึงตามองสหายของตนอย่างไม่พอใจ
“พระองค์เป็นผู้พระราชทานสมรสให้กระหม่อม ทั้งที่รู้เรื่องกระหม่อมกับอาหรูดี คงต้องให้ฝ่าบาทจัดการเรื่องนี้ให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะยอมให้นางหย่าเช่นนั้นรึ”
“นางเลือกแล้ว กระหม่อมจะทำเช่นไรได้”
“หากนางเปลี่ยนใจเล่า”
“หากนางยอมอยู่อย่างสงบ กระหม่อมก็คงจะเมตตานางบ้างเป็นครั้งคราว”
“เหอะ คงมิได้ง่ายเช่นที่เจ้าคิด ดูแล้วคุณหนูซ่งนางยอมตายมากกว่าที่จะยอมกลับไปเป็นฮูหยินของเจ้า”
“...” ฝูหลินเม้มปากแน่น ตัวเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่านางที่ดึงดันจะแต่งงานกับเขามาตลอด จะเปลี่ยนใจรวดเร็วเช่นนี้
“จะไปดูนางหน่อยหรือไม่” เมื่อเห็นใบหน้าของสหายลังเล ฮ่องเต้จึงเอ่ยถามขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ ฉีเฟยหลง เดินออกจากพระตำหนักไปพร้อมกับฝูหลิน
คุกหลวงที่อยู่ด้านหลังของวังหลวง ทั้งมืดสนิทและหนาวเย็น จนม่านอวี้นอนขดตัวแน่นอยู่บนกองหญ้า
เมื่อครู่มีหมอหลวงมาตรวจอาการนางพร้อมทั้งต้มยาให้นางดื่มเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยความชื้นของด้านในห้องขัง ทำให้อาการของนางยังไม่ดีขึ้น
“อาซาน...ข้าหนาว” นางร้องเรียกหาผู้จัดการส่วนตัวให้หาผ้า มาคลุมร่างกายให้นาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดคืออาซาน” ฉีเฟยหลงหันไปเอ่ยถามสหายที่อยู่ข้างกาย
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของฝูหลินเขียวคล้ำอย่างไม่น่ามอง เมื่อม่านอวี้นางเอ่ยเรียกชื่อบุรุษอื่นขึ้นมา
“ไปหาผ้าห่มมาให้นางเสีย” ฉีเฟยหลงหันไปสั่งความกับถังกงกง “แล้วเอากระถางไฟเข้ามาให้นางมากเสียหน่อย หากนางยอมเปลี่ยนใจแล้วเจ้าไปบอกข้าที่ตำหนักก็แล้วกัน”
ฮ่องเต้หมุนกายเพื่อออกจากคุกที่แสนหนาวเย็น ก่อนจะหันไปมองสหายที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่
“ไม่ไปรึ”
“กระหม่อมขออยู่กับนางอีกสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ฝูหลินสั่งให้เปิดห้องขัง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงที่ด้านข้างของม่านอวี้
“เจ้ายอมตายเช่นนั้นรึ” เขามองใบหน้างามอย่างไม่ละสายตา
“อื้ออ...” ม่านอวี้ปรือตาขึ้นมอง เมื่อนางได้ยินเสียงของฝูหลิน “ท่านเข้ามาเพื่ออันใด” เสียงของนางแหบแห้งจนแทบฟังไม่รู้ว่านางเอ่ยพูดสิ่งใด
เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกห่มให้นาง
“อาอวี้ เจ้ากลับพร้อมข้าดีหรือไม่ เลิกคิดเรื่องหย่า แล้วยอมอยู่อย่างสงบในเรือนของเจ้า”
“หึ ท่านกลับไปเถิด ข้าไม่ต้องการจะกลับไปที่จวนตระกูลหวังแล้ว เมื่อก่อนอาจเป็นข้าที่ดึงดันจะแต่งให้ท่าน หากข้ารู้มาก่อนว่าท่านชอบพออยู่กับอาหรู ข้าจะไม่คิดเรื่องแต่งให้ท่านเลย” สายตาของนางว่างเปล่ายามที่จ้องมองฝูหลิน
“เจ้าไม่รู้รึ” เขาเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ ด้วยตัวนางกับจินหรูเป็นสหายกันมาหลายปี จะไม่รู้เลยได้อย่างไร
“อืม นางไม่เคยบอกข้าสักคำ ทั้ง ๆ ที่นางรู้ว่าข้าอยากจะแต่งเป็นภรรยาของท่าน ท่านไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้ ในเมื่อในสายตาของท่านข้ามองว่าข้าร้ายกาจมาตลอด” ม่านอวี้ถอนหายใจออกมา
ความทรงจำเดิมของเจ้าของนาง ที่นางยอมปลิดชีพตัวเอง ก็ด้วยเสียใจที่ถูกสหายรักหักหลัง ทั้งยังอับอายแทนผู้เป็นบิดามารดาอีกด้วย
ฝูหลินเม้มปากแน่น ความรู้สึกของเขาหลากหลายจนไม่อาจจะเอ่ยคำใดออกมาได้ เพียงไม่นานถังกงกงก็นำกระถางไฟและผ้าห่มเข้ามา
“...” เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะห่มผ้าให้นางแล้วกลับออกไป
ฝูหลินมองท้องฟ้าที่หน้าห้องขังอย่างเลื่อนลอย เขาไม่อาจรั้งอยู่ภายในคุกหลวงได้นาน ทั้งต้องกลับไปจัดการเรื่องที่จวนอีก
ภายในจวนตระกูลหวังก็วุ่นวายไม่น้อย เมื่อนายท่านหวังและฮูหยินหวังรู้เรื่องลูกสะใภ้หนีกลับจวนตระกูลซ่งไปยามดึก
“ได้ความเช่นใดบ้างอาหลิน อาอวี้นางไม่ยอมกลับมารึ” ฮูหยินหวังเดินเข้ามาหาบุตรชายที่กลับมาถึงจวน
“นางถูกคุมขังอยู่ที่วังหลวงขอรับ”
“สวรรค์!!! เรื่องเป็นเช่นใดกันแน่” ฮูหยินหวังเหมือนจะเป็นลม ต้องให้ฝูหลินประคองนางไปนั่ง
จินหรูที่อยู่ในห้องโถงด้วย ดวงตาของนางก็เปล่งประกายออกมาทันที ด้วยยินดีในคราวเคราะห์ของสหายตน
“นางยอมตายดีกว่าเป็นฮูหยินเอกของเจ้ารึ” นายท่านหวังเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อ ว่าม่านอวี้นางจะใจเด็ดเช่นนี้
“ขอรับ”
“หึ หากเจ้าไม่ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ อาอวี้นางจะถูกคุมขังได้อย่างไร” ฮูหยินหวังมองตำหนิบุตรชายทั้งยังปรายตาไปมองจินหรูอย่างดูแคลน
นางไม่เห็นด้วยที่บุตรชายจะรับตัวจินหรูเข้ามาในจวนวันเดียวกันกับม่านอวี้ แต่ก็ทนความดื้อรั้นของเขาไม่ได้ จึงได้แต่หลับตาข้างหนึ่ง
“แล้วเจ้าจะทำเช่นใดต่อไป” นายท่านหวังได้แต่ถอนหายใจ ดูท่าตระกูลหวังกับตระกูลซ่งคงได้แตกหักกันแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดให้นางเปลี่ยนใจอีกครั้ง” หากนางตายไปจะกลายเป็นเขาที่ทำให้นางตาย เช่นนี้ต่อไปจะถูกผู้อื่นสาปแช่งมากเพียงใด
จินหรูเงยหน้ามองฝูหลินอย่างปวดใจ นางคิดว่าเขาจะยอมให้ม่านอวี้หย่าง่ายๆ
“ท่านพี่ ในเมื่อนางอยากหย่าเหตุใดท่านไม่ปล่อยนางไป” จินหรูเอ่ยถามขึ้นเมื่อทั้งสองออกมาจากห้องโถงแล้ว
“หากนางหย่าต้องถูกโบยร้อยไม้ เจ้าทนเห็นนางตายได้รึ” แม้เขาไม่ได้รักนาง แต่ก็ไม่อยากเห็นนางต้องตาย โดยเป็นเขาที่ตัดสินใจทำเรื่องน่าละอายลงไป จนนางต้องเลือกหนทางนี้
“แต่ว่า...” ภายในใจของจินหรูไม่ยินยอม ในเมื่อนางปลิดชีพตัวเองแล้วไม่ตาย เช่นนั้นก็ควรปล่อยให้นางตายจากการลงโทษก็สิ้นเรื่อง
“อาหรู เจ้าเคยบอกเรื่องของเจ้ากับข้า ให้อาอวี้นางรู้หรือไม่” เขาหันมาเอ่ยถามจินหรู
“เหตุใดท่านจึงถามข้าเช่นนี้เล่า นางเป็นสหายของข้า นางก็ต้องรู้มิใช่รึ”
“ยามที่นางบอกเจ้าจะแต่งให้ข้า เหตุใดเจ้าไม่ห้าม หรือว่านางรู้แต่นางก็ยังคิดจะแย่งชิงกับเจ้า”
“ชะ ใช่...ใช่นางรู้ แต่นางคิดจะแย่งท่านไปจากข้า” สายตาของจินหรูสั่นไหว จนฝูหลินอดที่จะสะท้านในใจไม่ได้
เช่นนั้นม่านอวี้นางก็ไม่ได้โกหกเขา เป็นนางที่ไม่รู้เรื่องมาโดยตลอด แล้วเพราะอันใดกันจินหรูนางถึงได้ทำเช่นนี้
ฝูหลินหมุนตัวไปที่ห้องตำรา แทนที่จะเดินกลับไปที่เรือนของจินหรู นางได้แต่มองตามแผ่นหลังของฝูหลินไปอย่างปวดใจ