ฉีเฟยหลง ฮ่องเต้ผู้เป็นสหายของฝูหลิน มองใบหน้าของเสนาบดีซ่งอย่างเรียบเฉย
“เจ้าพูดให้เจิ้นเข้าใจง่ายเสียหน่อย”
“หากพระองค์เมตตากระหม่อม ได้โปรดยกเลิกราชโองการสมรสด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ ดียิ่ง พวกเจ้าสองคนเห็นราชโองการของเจิ้นเป็นของเล่นรึ ไปพาตัวคุณหนูซ่งเข้าวัง เจิ้นอยากจะเห็นนัก ว่านางเก่งกล้าเพียงใดที่กล้าบังคับให้บิดามาขอราชโองการ ทั้งยังขอให้มายกเลิกราชโองการจากเจิ้นได้”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เป็นความคิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซ่งคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่ยินยอม ด้วยต้องการให้ม่านอวี้นางเข้าเฝ้า พระองค์คิดว่าหากม่านอวี้ได้ฟังคำขู่ของพระองค์จะทำให้เลิกนางเลิกดื้อรั้น แล้วอยู่ในจวนตระกูลหวังอย่างดี
ก่อนหน้านี้เป็นเสนาบดีซ่งที่เข้ามาอ้อนวอนว่าบุตรสาวจะปลิดชีพตนเอง หากไม่ได้แต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพ แต่มาตอนนี้จะขอให้ยกเลิกราชโองการ ด้วยนางก็คิดจะปลิดชีพตนเองอีก ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า
เซี่ยซื่อแทบสิ้นสติ เมื่อรู้จากขันทีในวังให้บุตรสาวของนางรีบเข้าวังด่วน
“เอ่อ...ถังกงกง บุตรสาวของข้า นางล้มป่วยเกรงว่า...”
“ฮูหยินซ่ง นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท ข้าน้อยเกรงว่า...”
“เช่นนั้นท่านรอสักครู่เถิด”
“ขอรับ” เขายิ้มเย็นออกมา ข่าวลือเรื่องตามใจบุตรสาวจนเสียคนของตระกูลซ่งคงไม่เกินจริงนัก
เสี่ยวฮวารีบร้อนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ม่านอวี้เข้าวัง พร้อมทั้งช่วยประคองนางออกไปจากเรือน
ยังดีที่ม่านอวี้ดื่มยาไปแล้ว นางจึงเริ่มมีสติขึ้นมา ถังกงกงที่เห็นม่านอวี้ถูกสาวใช้และเซี่ยซื่อประคองออกมา ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น
“เอ่อ...ไหวหรือไม่ขอรับ” ในตอนแรกที่เขาคิดว่านางแกล้งป่วย ยามนี้เชื่อเสียแล้ว ยิ่งได้เห็นคอขาวที่แดงช้ำจนน่ากลัว ก็ยิ่งเชื่อแล้วว่านางคิดปลิดชีพตนเองจริง ไม่ใช่เสนาบดีซ่งสร้างเรื่องขึ้นมา
ม่านอวี้นั่งหลับตาอยู่ในรถม้า นางพยายามอดทนไม่อาเจียนออกมาอย่างที่สุด เมื่อรถม้าจอดลงที่หน้าประตูวัง นางมองถนนที่ทอดยาวเข้าไปด้านในแล้วถอนหายใจออกมา
“ฮูหยินหวัง ท่านต้องเดินเข้าไปด้วยตนเองขอรับ” ถังกงกงปรายตามองเสี่ยวเหยาที่ประคองม่านอวี้อยู่ให้ถอยห่างออกไป
“ได้เจ้าค่ะ รบกวนถังกงกงนำทางด้วย” นางเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะแข็งใจเดินตามหวังกงกงเข้าไปในวังหลวง
ม่านอวี้แทบจะประคองสติที่ใกล้จะเลื่อนลางเต็มทีไว้ไม่ไหว นางไม่รู้ว่าเดินเข้ามานานเพียงใด แต่รู้ว่านางเหนื่อยจนแทบก้าวขาไม่ออกแล้ว
“ถึงแล้วขอรับ ท่านรอด้านหน้าสักครู่” ถังกงกงรีบเข้าไปแจ้งด้านใน
“ช่วยประคองข้าหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” นางหันไปขอร้องนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง
“เจ้าค่ะ” นางกำนัลที่เห็นใบหน้าซีดขาวของม่านอวี้ก็อดที่จะเห็นใจนางไม่ได้ ตัวของนางโอนเอนเหมือนจะล้มลงแล้ว จึงได้ช่วยประคองไว้
“ทะ ท่านตัวร้อนถึงเพียงนี้เลยรึเจ้าคะ” นางกำนัลเมื่อถูกตัวของม่านอวี้เข้าก็ร้องออกมาอย่างตกใจ
“เจ้าค่ะ แต่ข้ายังไหว” นางยิ้มออกมาเล็กน้อย
เพียงครู่เดียวถังกงกงก็มาพาตัวม่านอวี้เข้าไปด้านใน นางไม่ได้มองสำรวจความงามของตำหนักฮ่องเต้เลย ได้แต่มองแผ่นหลังของถังกงกงไว้
“ซ่งม่านอวี้ ถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ” นางก้มหน้าลง พร้อมทั้งคุกเข่าลงที่พื้น
เสนาบดีซ่งมองบุตรสาวที่เกือบจะทรงตัวไม่อยู่อย่างปวดใจ ฝูหลินมองใบหน้างามที่ซีดขาวอย่างมึนงง ด้วยไม่รู้ว่านางจะใช้แผนการสิ่งใดอีก
“หึ เจ้าแต่งเข้าตระกูลหวังก็เป็นเจ้าที่อ้อนวอนให้บิดามาขอพระราชทานสมรส” ฮ่องเต้มองคอขาวของนางอย่างพิจารณา
“เพคะ” นางเอ่ยรับเสียงแผ่วเบา พร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ยามนี้เจ้าต้องการจะยกเลิกราชโองการเช่นนั้นรึ”
“เพคะ”
“แล้วรู้หรือไม่ว่ามีโทษเช่นไร”
ม่านอวี้ได้ยินว่าต้องได้รับโทษด้วย นางก็ช้อนสายตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำจ้องมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ อย่างอ้อนวอน
“ไม่รู้เพคะ แต่หากโทษที่ได้รับจะไม่ตกถึงบิดามารดา หม่อมฉันยินดีที่จะรับเพคะ” แม้เสียงของนางจะแผ่วเบา แต่นางก็หนักแน่น
ฝูหลินเม้มปากแน่น เสนาบดีซ่งถอนหายใจออกมา ดูท่าแล้วม่านอวี้นางไม่คิดจะกลับไปที่จวนตระกูลหวังอย่างแท้จริง
“ดี โทษขัดราชโองการ มีโทษโบหนึ่งร้อยไม้ เจ้ายินดีที่จะรับหรือไม่”
“ฝ่าบาท” ฝูหลินและเสนาบดีซ่งร้องขึ้นพร้อมกัน พวกเขาอ้าปากจะพูดต่อ แต่ฮ่องเต้ยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ขอคิดสักครู่เพคะ หนึ่งร้อยไม้...” สมองของม่านอวี้ประมวลผลไม่ทัน อาจจะเป็นด้วยร่างกายของนางมีพิษไข้ และไม่รู้ว่าร้อยไม้จะตีนางแรงเพียงใด
“พระองค์จะยินยอมให้หม่อมฉันหย่าใช่หรือไม่เพคะ” นางเงยหน้าถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
“ใช่ หากเจ้ายอมถูกโบยสักหนึ่งร้อยไม้” ฮ่องเต้นั่งพิงเก้าอี้อย่างสบาย ด้วยรู้ดีว่าอย่างไรนางก็คงไม่กล้าพอที่จะรับโทษหนักเช่นนี้
“หม่อมฉันยินดีรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้เพคะ” เสียงของนางหนักแน่นจนใจของฝูหลินและเสนาบดีซ่งตื่นตระหนก
“อาอวี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าอาจตายได้” ฝูหลินเข้ามาบีบแขนของนางไว้แน่น เขาจึงได้รู้ว่าตัวของนางร้อนดั่งไฟ “เจ้ามีไข้รึ”
“อยู่ในจวนท่านข้าก็ตาย สู้ตายด้วยคำตัดสินของฝ่าบาทไม่ดีกว่ารึ หลังจากนี้ตัวข้าจะได้หลุดพ้นจากจวนของท่านด้วย” นางดึงแขนของเขาออกจากแขนของนาง
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะจัดการเรื่องภายในจวนให้เรียบร้อย ไม่ให้นางต้องน้อยเนื้อต่ำใจอีก ขอได้โปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ข้าตัดสินใจแล้ว”
“อาอวี้” เสนาบดีซ่งเอ่ยเรียกบุตรสาวเสียงเบา
“ท่านพ่อ ลูกอกตัญญูต่อท่านมามากพอแล้วเจ้าค่ะ ให้ลูกได้รับโทษในสิ่งที่ลูกทำเถิดเจ้าค่ะ” นางยิ้มออกมาน้อยๆ
ถังกงกงกระซิบบอกความกับฮ่องเต้ เรื่องที่ม่านอวี้นางมีไข้สูง คำพูดของนางอาจจะพูดออกมายามที่นางไร้สติ จึงได้คิดที่จะคุมขังนางไว้เพื่อให้นางคิดไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“เจิ้นจะขังเจ้าไว้เสียก่อน แล้วค่อยตัดสินอีกครั้งก็แล้วกัน”
ม่านอวี้เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างไม่พอใจ เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ถูกผู้อื่นมองด้วยสายตาเช่นนี้ พระองค์จึงตกตะลึงไม่น้อย
“รีบพานางออกไป” ฮ่องเต้กัดฟันบอกถังกงกง ด้วยกลัวว่าจะสั่งลงโทษนางเสียตั้งแต่ตอนนี้
ม่านอวี้ที่ฝืนร่างกายมานานแล้ว นางได้ยินเพียงคำสั่งคุมขัง ก็ยกยิ้มเยาะออกมา เมื่อถูกลากตัวออกไปจากห้องทรงงาน นางก็หมดสติทันที
“หึ ขังนางเอาไว้ แล้วส่งหมอหลวงไปดูอาการของนาง”
“ฝ่าบาท เมตตาบุตรีกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ คิดว่าเจิ้นจะปล่อยให้นางตายรึ บุตรีของเจ้าหากไม่กำราบนางเสียบ้าง จะยิ่งดื้อรั้นไปกันใหญ่ เสนาบดีซ่งท่านกลับไปก่อน เจิ้นยังมีเรื่องจะคุยกับท่านแม่ทัพหวัง”
ฮ่องเต้โบกมือไล่ด้วยความหงุดหงิดใจ