ม่านอวี้กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ฝูหลินมาแล้วเกี่ยวอะไรกับนางเล่า
“เหอะ แล้วอย่างไร” นางล้มตัวลงนอนอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ
“อวี้เออร์!!!” เสียงตวาดเรียกนางราวกับฟ้าผ่าที่หน้าห้อง ทำให้ม่านอวี้ดีดตัวลุกขึ้นมาจากที่นอน
เมื่อนางหันไปก็เห็นเสนาบดีซ่งยืนใบหน้าแข็งกร้าวมองมาทางนางอย่างมีโทสะ ด้านหลังเป็นมารดาของนางที่มองมาทางนางอย่างตำหนิ
“เอ่อ...ท่านพ่อ ท่านแม่” นางเอ่ยเรียกเสียงเบาอย่างไม่คุ้นปาก
“เหอะ เจ้ายังรู้อีกรึว่าข้าเป็นบิดาของเจ้า ลุกขึ้นมาประเดี๋ยวนี้ งามหน้าไหมเล่า แต่งวันเดียวเจ้าสาวหนีกลับบ้านเดิม” เสนาบดีซ่งเดินเข้ามาภายในห้อง
“หากท่านไม่ให้ข้ากลับ ข้าคงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่จวนตระกูลหวัง แล้วให้ท่านไปรับร่างที่ไร้วิญญาณกลับมาแทน” นางบ่นเสียงเบา แต่ทั้งสองก็ยังได้ยิน
“เจ้าว่าอันใด” เซี่ยหลานเดินเข้ามาหาม่านอวี้ที่เตียงนอน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอกตัญญูต่อพวกท่านนัก” นางเปิดคอเสื้อที่ยังคงทิ้งรอยแดงจากการผูกคอของซ่งม่านอวี้ออกให้พวกเขาดู
“สวรรค์!!! เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” เซี่ยหว่านแทบจะเป็นลมเมื่อเห็นร่องรอยที่คอของบุตรสาว
เสนาบดีซ่งใบหน้าซีดขาวทันที พร้อมเดินเข้ามามองที่นางอย่างปวดใจ
“เกิดอันใดขึ้น” เขาเอ่ยถามเสียงสั่น
ม่านอวี้เล่าเรื่องที่หวังฝูหลิน รับจินหรูเข้ามาเป็นฮูหยินรอง ทั้งในวันงานแต่งเขายังเข้าหอกับนางแทนที่จะเป็นฮูหยินเอกเช่นม่านอวี้
“เดรัจฉาน!!!” เสนาบดีซ่งตวาดกร้าวออกมา
“จะว่าเขาก็ไม่ได้ เป็นข้าที่ดึงดันจะแต่งให้เขา ท่านพ่อข้าไม่อยากกลับไปแล้วเจ้าค่ะ” นางมองบิดาอย่างอ้อนวอน
“จะได้อย่างไร ราชโองการมงคลสมรสมิอาจจะหย่าร้างได้ เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดีมิใช่รึ” เหมือนฟ้าจะผ่าลงมาอีกหน
ม่านอวี้ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ก็เพิ่งจะมารู้ตอนที่บิดาเอ่ยบอก แล้วจะทำเช่นไรดี หย่าก็ไม่ได้ จะให้กลับไปนางก็ไม่อยากกลับ
“หากท่านอยากให้ข้าตายก็ส่งข้ากลับไปเลยเจ้าค่ะ” นางตัดพ้อออกมา
“เพ้ย ยามอยากแต่งข้าไม่ให้เจ้าแต่งก็พูดอยากจะตาย พอแต่งเข้าไปแล้วก็อยากจะตายอีกรึ” เสนาบดีซ่งถลึงตามองบุตรสาวตัวดี
“ท่านพ่อ ท่านไปบอกท่านแม่ทัพเลยว่าข้าตายไปแล้ว แล้วข้าจะหนีไปอยู่ที่อื่นเอง เช่นนี้ดีหรือไม่เล่า” ม่านอวี้ลุกขึ้นนั่งบอกกล่าวบิดาด้วยแววตาเปล่งประกาย
“หึหึ แผนการของฮูหยินช่างล้ำลึกนัก ข้าได้เปิดหูเปิดตาเสียแล้ว” เสียงเย็นเหยียบของหวังฝูหลินเอ่ยขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาในห้องของนาง
ม่านอวี้ล้มตัวลงนอน ราวกับว่าร่างกายของนางอ่อนเพลียจนลุกขึ้นมานั่งไม่ไหว
“กลับจวนได้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงแข็ง พร้อมทั้งมาหยุดยืนที่ปลายเตียง
“ท่านกลับไปก่อนเลย ไว้ข้าหายดีเมื่อใดจะกลับไป ตอนนี้ข้าไม่มีแรงจะลุก” เสนาบดีซ่งกับเซี่ยซื่อแทบอยากจะเอามือปิดหน้า กับการแสดงของบุตรสาว
“เช่นนั้น...” เขาเดินเข้ามาช้อนตัวของนางขึ้นทันที
“ว้ายยย ทำบ้าอันใด ปล่อยข้าลง” นางทุบไปที่อดแกร่งของเขาอย่างไม่ยอม
“ดูท่า ฮูหยินของข้าจะมีเรี่ยวแรงแล้ว”
“ปล่อย!!!” นางดันหน้าของเขาออกห่าง เมื่อเขาโน้มเขามามองนางอย่างหยอกล้อ
“ท่านแม่ทัพ ปล่อยอาอวี้ลงก่อน นางยังบาดเจ็บอยู่” เสนาบดีซ่งเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อตา ข้าจะพานางไปรักษาตัวที่จวนเองขอรับ” เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่ยอม
“เห็นจะไม่ต้อง ให้นางอยู่ที่จวนของข้าจนกว่าเรื่องจะได้รับการตัดสินเถิด”
ฝูหลินมองเสนาบดีซ่งอย่างไม่เข้าใจ “ท่านหมายความเช่นไรท่านพ่อตา”
“แม้อาอวี้จะแต่งเข้าจวนท่านด้วยราชโองการสมรสก็จริง แต่ท่านก็เป็นฝ่ายดูแคลนตระกูลซ่งของข้า ด้วยการรับฮูหยินรองเข้ามาในวันแต่งของอาอวี้เลย ท่านแม่ทัพ ท่านทำเช่นนี้มิใช่ว่า...ท่านกำลังดูแคลนราชโองการของฝ่าบาทด้วยรึ”
ม่านอวี้ที่เห็นสายตาของฝูหลินกำลังตกตะลึงอยู่ นางจึงดิ้นลงมาจากอ้อมแขนของเขาได้ แล้ววิ่งไปหลบอยู่ที่ด้านหลังของผู้เป็นบิดามารดา
“แล้วท่านพ่อตาคิดว่าข้าควรทำเช่นไรดี”
“หย่า หย่าเจ้าค่ะ ท่านพ่อข้าจะหย่า” ม่านอวี้ยื่นหน้าออกมาพูด
“อาอวี้ เงียบ ข้าจะเข้าวังเพื่อขอความเห็นจากฝ่าบาท ท่านจะไปพร้อมข้าเลยหรือไม่”
“ได้ขอรับ” เขาก็ควรจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย ด้วยเป็นตัวเขาเองที่กระทำการรับจินหรูเข้าจวนโดยใช้โทสะ
หากรับนางเข้ามาหลังจากที่แต่งม่านอวี้ก็คงไม่ต้องวุ่นวายเพียงนี้
“เจ้าพักก่อนเถิดอาอวี้” เซี่ยซื่อตบที่หลังมือของบุตรสาวเบาๆ
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยให้ข้าหย่าให้ได้นะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านเก่ง” เขากอดที่แขนของผู้เป็นบิดา
ฝูหลินที่ได้ยินถึงกับมุมปากกระตุก เขาจ้องมองม่านอวี้อย่างพิจารณา นางไม่เหมือนม่านอวี้ที่เขารู้จักมาก่อน ไม่รู้ว่านางเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด
เมื่อคนทั้งหมดออกไปแล้ว เสี่ยวเหยาก็ยกอาหารเข้ามาให้ม่านอวี้กิน
“เจ้าเก็บไปเถิด” นางกินไปเพียงไม่กี่คำก็โบกมือให้เสี่ยวเหยาเก็บออกไป
พอมาตอนนี้รอยช้ำที่คอก็ทำให้ม่านอวี้นางเริ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว จึงได้เดินไปล้มตัวนอนที่เตียง
พอเสี่ยวเหยากลับเข้ามาอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าคุณหนูของนางมีไข้ เซี่ยซื่อที่รู้ข่าวก็ให้บ่าวตามหมอมาดูอาการ ตัวนางก็นั่งเฝ้าบุตรสาวที่เพ้อด้วยพิษไข้อยู่ไม่ห่าง
“เมื่อครู่นางยังไม่เป็นอันใดเลย” เซี่ยซื่อเอ่ยออกมาอย่างปวดใจ
ก่อนหน้านี้ม่านอวี้นางยังไม่มีทีท่าว่าจะมีไข้สูงสักนิด แต่ยามนี้นางกลับตัวร้อนดั่งไฟ ทั้งยังเพ้ออะไรไม่รู้จับใจความไม่ได้
ทางด้านเสนาบดีซ่งและหวังฝูหลิน ที่เข้าวังหลวงเพื่อขอคำตัดสินจากฮ่องเต้พร้อมกัน
“แม่ทัพหวัง เจ้ากล้าหาญยิ่งนัก แม้จะไม่พึงใจในตัวคุณหนูซ่ง แต่เจ้ากล้าขัดราชโองการรึ” ฮ่องเต้ปรายตามองฝูหลินอย่างไม่พอพระทัย
ถึงจะโปรดปรานหวังฝูหลินมากแค่ไหน ทั้งยังเป็นสหายที่เรียนร่วมกันมา แต่การที่เขาหักหน้าราชโองการสมรสเช่นนี้ ก็สร้างความไม่พอใจให้ฮ่องเต้ไม่น้อย
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงเห็นใจคุณหนูจ้าว ด้วยเคยสัญญากันไว้จะรับนางเป็นฮูหยิน เมื่อไม่อาจมอบให้นางได้จึงรับนางเข้าเป็นฮูหยินรองแทะพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วจำต้องรับนางเข้าพร้อมกับฮูหยินเอกด้วยรึ เจ้าจงใจตบหน้าจวนตระกูลซ่งก็เท่ากับว่าตบหน้าข้าที่เป็นผู้พระราชทานสมรสด้วย”
ฝูหลินรีบคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ เพื่อยอมรับความผิดที่เขาได้ทำลงไปทั้งหมด
“กระหม่อมนอบรับโทษทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี เสนาบดีซ่ง ท่านมีความเห็นเช่นไร”
“บุตรสาวกระหม่อมคิดปลิดชีพตนเอง หากยังดึงดันจะใช้ชีวิตคู่กับท่านแม่ทัพต่อ กระหม่อมเกรงว่า...”