ตอนที่ 3
หวั่นไหว
สัปดาห์ต่อมา
ยาหยียังคงจำลูเซียโน่ผู้ชายที่เธอบังเอิญเจอ และได้พูดคุยกันที่ผับวันนั้นได้อย่างชัดเจน แต่หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเขาอีกเลย ซึ่งเธอเองก็ทำใจได้แล้วว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกับลูเซียโน่อีก เพราะหากเขาสนใจอยากที่จะทำความรู้จักกับเธอ เหมือนที่เธออยากทำความรู้จักเขามากกว่านี้ เขาคงจะติดต่อเธอกลับมานานแล้ว แต่นี้ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วเขาก็ยังไม่ติดต่อเธอกลับมา
“คุณยาหยีคะแพนเทิร์นแบบสูทผู้ชายล่าสุดเรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวหยีไปเช็กงานอีกทีหนึ่ง” ยาหยีสลัดความคิดเกี่ยวกับลูเซี่ยโน่ออกไป ก่อนจะลุกไปตรวจเช็กความเรียบร้อยของงานที่เธอตั้งใจออกแบบมาโดยมีลูเซี่ยโน่เป็นแรงบรรดาลใจในการออกแบบสูทตัวนี้
ยาหยียืนตรวจเช็กความเรียบร้อยของเสื้ออยู่ด้วยความสนใจ ก่อนจะละความสนใจไปยังเสียงทุ่มต่ำที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังด้วยความตกใจ เพราะเป็นเสียงที่เธอไม่คิดว่าจะได้ยินอีกครั้ง
“เสื้อตัวนั้นมีเจ้าของรึยังครับ”
“คุณลูเซียส” ยาหยีเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของน้ำเสียงทุ่มต่ำด้วยความแปลกใจ ที่หันมาพบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นลูเซียโน่จริงๆ
“สวัสดีครับคุณยาหยี”
“สวัสดีค่ะ คุณลูเซียสมาทำอะไรที่นี่คะเนี่ย”
“บังเอิญผ่านมาแถวนี้พอดีครับ เลยถือโอกาสแวะมาทักทายคุณยาหยีสักหน่อย”
“อ๋อ ยินดีต้อนรับค่ะ”
“แล้วตกลงสูทตัวนั้นมีเจ้าของรึยังครับ”
“ยังเลยค่ะ คุณลุเซียนชอบเหรอคะ หยีจะได้วัดไซส์ตัดให้คุณลูเซียส”
“ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ”
“งั้นเชิญคุณลูเซียสวัดตัวเลยแล้วกันนะคะ” ยาหยีตอบ
ยาหยียื่นมือไปรับสายวัดจากพนักงานในร้านมาวัดขนาดตัวของลูเซียโน่ เพื่อที่จะทำการตัดชุดให้พอดีกับขนาดตัวของเขา ทำให้ตอนนี้ใบหน้าของเธอเกือบจะชนเข้ากับแผงอกแกร่งอยู่ร่อมล้อ ใบหน้าหวานแดงระเรื่องด้วยอาการเขินอาย เมื่อได้สัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายของชายหนุ่ม เธอจึงรีบทำการวัดตัว และผละตัวออกมาทันที เพราะเพียงแค่นั้นหัวใจดวงน้อยมันก็เต้นแรงแทบบ้าคลั่ง ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เธอได้พบเจอกับเขาเลยสักนิด
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณลูเซียสอยากให้หยีแก้ไขแบบตรงไหนไหมคะ ตอนนี้ยังพอแก้ทัน” ยาหยีเอ่ยถามขึ้น โดยพยายามประคองน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“ไม่แล้วครับ มันดูดีมากจนเหมือนออกแบบมาเพื่อผมเลยละครับ”
ใบหน้าหวานระบายยิ้มกว้างออกมาด้วยความลืมตัว ที่ลูเซียโน่สัมผัสได้ถึงความหมายของสูทตัวนี้ที่เธอต้องการจะสื่อ และแน่นอนว่ามันสื่อถึงเขา ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธออกแบบสูทตัวนี้
“หยีดีใจที่คุณลูเซียสชอบนะคะ”
“ใครเห็นก็ต้องชอบทั้งนั้นแหละครับ อย่าบอกนะครับว่าสูทตัวนี้คุณยาหยีออกแบบเอง” ลูเซียโน่เอ่ยชมเปาะ
“ค่ะ”
“อย่างกับเราใจตรงกันเลยนะครับ”
“คงแค่บังเอิญมั้งคะ” ยาหยีตอบปัด เพราะไม่อยากแสดงออกมากไปจนเกินงาม
“คุณยาหยีมีธุระที่ต้องทำต่อไหมครับ ผมอยากจะชวนคุณยาหยีไปทานข้าวด้วยกันหน่อย”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“งั้นไปทานข้าวเย็นกับผมนะครับ”
“ค่ะ” ยาหยีตอบตกลง เพราะเธอเองก็อยากทำความรู้จักเขามากกว่านี้เหมือนกัน
ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ทั้งสองคนสั่งอาหารและเครื่องดื่มมาคนละอย่างสำหรับอาหารมื้อนี้ โดยที่ลูเซี่ยโนเป็นคนอาสาขับรถพาเธอมาที่ร้านอาหาร เพราะเขาอ้างว่าขับรถมาเองไม่ได้มีบอดี้การ์ดตามมาดูแลเหมือนที่เธอเจอคราวก่อนหน้า
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษคุณยาหยีด้วยนะครับ”
“คุณลูเซียสขอโทษหยีเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องที่ผมไม่ได้ติดต่อไป”
“อ๋อ เรื่องนั้นไม่...”
“ผมไปดูงานที่ต่างประเทศมาน่ะครับ เลยไม่ได้มีเวลาติดต่อคุณกลับไปทันที”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” ยาหยีพยายามอธิบายให้ลูเซียโน่เข้าใจว่าเธอไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรเขา
“ผมแค่อยากอธิบายให้คุณยาหยีเข้าใจ ผมสนใจคุณยาหยีมากนะครับ พอกลับจากงานที่ต่างประเทศก็เลยรีบตรงมาที่ร้านคุณเลย”
“เออ...” ยาหยีนิ่งอึ้งไป เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไร คำพูดตรงไปตรงมาของลูเซียโน่กำลังทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอสั่นไหว เพราะเขากำลังทำเหมือนเธอเป็นคนสำคัญ
“ผมอยากให้คุณยาหยีมองเห็นความจริงใจที่ผมมีให้นะครับ”
“คุณลูเซียสพูดตรงไปรึเปล่าคะ หยีเริ่มจะเขินแล้วนะคะ” ยาหยีแสร้งตอบติดตลก เพื่อขมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในตอนนี้
“ผมพูดจริงๆ นะครับ ถ้าคุณยาหยีไม่รังเกียจ ผมอยากจะทำความรู้จัก และพันธนาความสัมพันธ์ระหว่างให้เป็นมากกว่าคนรู้จัก” ลูเซียโน่จ้องลึกไปในดวงตาสีนิล เพื่อถ่ายทอดความจริงใจของเขาผ่านไปยังดวงตา
“หยี...ค่อนข้างเอาแต่ใจนะคะ ถ้าคุณลูเซียสไม่รำคาญซะก่อน หยีก็ยินดีที่จะทำความรู้จักกับคุณลูเซียสมากกว่านี้”
“แย่เลยสิครับแบบนี้ ผมเอาใจคนเก่งซะด้วยสิ”
ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ มือเรียวยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ เพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเอง เพราะตอนนี้เธอคงไม่สามารถปกปิดมันได้มิดอีกต่อไป
“เวลาหยีเขินน่ารักดีนะ”
“อ๋อ ระ...เหรอคะ” ริมฝีปากบางคบเม้มเข้าหากันแน่น มือเรียวยกขึ้นเขี่ยปอบผมทัดหูแก้เขิน กับสรรพนาม และการใช้คำพูดที่แตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้กะทันหัน
“พี่พูดเป็นกันเองแบบนี้คงไม่ถือสาใช่ไหม”
“ไม่เลยค่ะ”
“หยีจะเรียกพี่ว่าพี่ก็ได้นะคะ เพราะพี่น่าจะอายุมากกว่าหยีหลายปี”
“ค่ะ...พี่ลูเซียส”
ลูเซียโน่แอบกระตุกยิ้มมุมปากในจังหวะที่ยาหยีก้มหน้าหลุบมองต่ำด้วยท่าทางเขินอายด้วยความรู้สึกสมเพช
‘ง่ายกว่าที่คิด’
ลูเซียโน่คิดในใจ ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าและอารมณ์ภายในเสี้ยววินาที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น