“ก็เรื่องที่เราขอขึ้นเวรจนแทบไม่มีเวลาพักนี่ไง มันเกิดอะไรขึ้นน่ะแตงกวา เรามีปัญหาต้องใช้เงินมากเลยเหรอถึงต้องทำงานแบบไม่ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้น่ะ ถึงโรงพยาบาลของเราจะงานไม่หนักเท่าโรงพยาบาลรัฐ แต่ขึ้นวันละสองเวรมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำบ่อยๆ หรอกนะ ดูอย่างวันนี้สิ ถึงกับเป็นลมไปเลยนะ แบบนี้จะทำงานต่อไปไหวยังไงกัน แล้วไอ้ข้าวเปล่ากับไข่ต้มเนี่ย จะต้องกินแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน หรือต้องรอให้ผอมจนเหลือแต่ซี่โครงก่อนหรือไงกัน”
“หนูขอโทษค่ะที่โหมงานหนักเกินไป แต่...ครอบครัวหนูกำลังมีปัญหาจริงๆ ค่ะพี่แข หนูก็เลยต้องประหยัดเงินทุกบาททุกสตางค์เอาไว้”
“พี่เข้าใจนะว่าทุกคนก็มีปัญหาที่ต้องแก้ไขเหมือนกัน แต่เชื่อพี่เถอะว่าทำแบบนี้น่ะมันเหมือนเป็นการเพิ่มปัญหาให้ตัวเองมากกว่า วันนี้แค่เป็นลม ถ้าวันหน้าตรวจเจอโรคร้ายเพราะขาดสารอาหารขึ้นมาจะทำยังไง จะทำงานเก็บเงินก็ให้มันพอดีเถอะนะจ๊ะ อย่าให้ปัญหาหนี้สินมันทำร้ายทั้งจิตใจและร่างกายของเราเลย ยังไงก็ลองกลับไปคิดดูละกัน ส่วนเรื่องขึ้นเวรสองกะ พี่อนุญาตให้เราขึ้นแค่สัปดาห์ละสามวันพอไม่ให้เกินกว่านั้นนะ มันไม่ใช่แค่พี่ห่วงสุขภาพของเรา แต่พี่ต้องแบ่งงานให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะยังมีคนอื่นที่อยากขึ้นสองกะเหมือนกัน หวังว่าเราจะเข้าใจพี่นะ”
“หนูเข้าใจค่ะ และขอโทษพี่แขด้วยนะคะที่ทำให้ลำบากใจ จากนี้ไปหนูจะรักษาสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น จะไม่ทำให้เสียงานอีกแล้วค่ะ หนูสัญญา”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี พี่จัดตารางเวรใหม่เสร็จแล้ว รอให้พี่แจ่มเค้าอนุมัติก็จะส่งเข้าไลน์กลุ่มให้ทุกคน รอดูอีกทีละกันนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวก็ไปกินข้าวก่อน พี่ซื้อผัดบล็อกโคลีกุ้งสดกับหมูทอดกระเทียมมาให้ กินข้าวให้อิ่มแล้วก็ไปทำงานต่อละกันนะ”
“ขอบคุณนะคะพี่แข ขอบคุณมากจริงๆ”
คุณัญญาน้ำตาคลอเมื่อได้เห็นความมีน้ำใจของอีกฝ่าย จากนั้นแขไขก็ก้าวออกไปจากห้อง เธอจึงได้เดินไปกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความรู้สึกตื้นตันใจและเศร้าใจไปพร้อมกัน
พยาบาลสาวไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ เพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เธอยังมีรถ BMW ให้ขับ มีชีวิตที่อยู่อย่างสุขสบาย บิดาของเธอเปิดร้านอาหารไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา พี่ชายเป็นตำรวจ และน้องสาวก็เรียนวิศวกรรมโยธาปีสุดท้าย
แต่พอได้รู้ปัญหาว่าบิดาติดหนี้การพนันกว่าสามสิบล้านบาทไม่รวมดอกเบี้ย ครอบครัวของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็น
ตอนนี้ทั้งเธอและน้องสาวก็ขายรถไปช่วยใช้หนี้แล้ว แต่มันก็ยังพอจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยเท่านั้น
คณานางค์ต้องไปทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ไนต์คลับแห่งหนึ่ง ส่วนเธอก็ต้องขอทำงานสองกะจนแทบจะเหมือนซอมบี้เดินได้ จนตอนนี้ร่างกายมันก็ประท้วงว่าเธอควรหันกลับมาสนใจตัวเองก่อนที่จะเสียทั้งงานเสียทั้งเงินจนไม่เหลืออะไรเลย
หลังจากกินอาหารทุกอย่างจนหมดเกลี้ยง เธอก็กลับไปทำงานอีกครั้งซึ่งวอร์ดที่เธอทำงานอยู่เป็นวอร์ดของคนไข้วีไอพี
กระทั่งเวลาผ่านไปจนเที่ยงคืนเธอก็เลิกงานแล้วกลับไปนอนที่หอพักซึ่งอยู่ไม่ไกลโรงพยาบาลนัก เพราะบ้านของเธออยู่ไกลจากที่นี่ค่อนข้างมาก หากเป็นเมื่อก่อนก็ยังพอขับรถกลับบ้านได้ แต่ตอนนี้เธอต้องประหยัดค่าแท็กซี่เอาไว้ แล้วกลับบ้านเฉพาะวันหยุดบางวันเท่านั้น
วันต่อมา
“จะกลับกรุงเทพฯ แล้วเหรอลูก ไหนว่าจะกลับเย็นนี้ไงจ๊ะ”
มารดาของคีตกาลหันมามองลูกชายที่ลงมาจากห้องในตอนสายพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง
“พอดีที่ค่ายมวยเค้ามีงานน่ะครับ”
“อีกแล้วเหรอจ๊ะ” มารดาของเขาทำหน้าไม่ชอบใจนัก ชายหนุ่มจึงได้เดินเข้ามาหาแล้วกอดท่านเอาไว้
“อีกปีเดียวผมก็จะกลับมาอยู่กับแม่แล้ว ขอผมทำอะไรที่อยากทำอีกสักปีนะครับคนสวย”
“แค่ปีนี้ปีเดียวนะ จบแล้วห้ามขึ้นสังเวียนไปต่อยกับใครอีก สัญญากับแม่นะลูก”
“ครับแม่ ผมสัญญา”
“งั้นก็...ระวังตัวนะจ๊ะ ถ้าบาดเจ็บก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลของเราให้อาหมอเค้าดูแผลให้เข้าใจรึเปล่า”
“อาหมอเค้าเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลนะครับ แค่ทำแผลผมทำเองได้อยู่แล้ว ทำเองบ่อยจะตายไป”
“เราก็เป็นซะแบบนี้แหละ”
“อย่าเพิ่งงอนสิครับ เอาไว้ปิดเทอมนี้ผมจะมาอ้อนแม่ให้แกะกุ้งให้ทั้งเดือนเลยนะครับ”
“จริงนะ ห้ามหลอกแม่ให้รอเก้ออีกล่ะ”
“ใครจะกล้าหลอกคนสวยล่ะครับ ผมไปนะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“จ้ะ ขับรถดีๆ นะลูก อย่าซิ่งมากล่ะ”
“รับทราบครับ แล้วนี่พ่อกับพี่นัทไปทำงานแล้วเหรอครับ”
“พ่อไปคนเดียวจ้ะ เห็นว่าพี่นัทไม่ค่อยสบายน่ะ นี่ก็ว่าจะให้เกดเค้ายกข้าวต้มไปให้บนห้องอยู่พอดี”
“โอเคครับ งั้นก็ฝากบอกพี่นัทให้หายไวๆ นะครับ แล้วเจอกันใหม่ตอนปิดเทอม”
“จ้ะ”
คีตกาลหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องรับแขกแล้วเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครด้วยเฟอร์รารี่คันเดิม