ตอนที่ 3 อยากปวดเอว
รถสปอร์ตของลูกสาวคนโตขับปราดแล่นเลี้ยวผ่านประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามา สวนทางกับคุณหญิงเพียงเพ็ญผู้เป็นย่า และ มนตกานต์มารดา พร้อมกับคนรับใช้เดินต่อแถวเรียวกันถือถาดอาหารคาว อาหารหวานเตรียมตัวออกไปใส่บาตรยามเช้า
“ตายแล้ว หนูรินทร์นี่เพิ่งกลับบ้านอย่างนั้นเหรอลูก” มนตกานต์ก้มหน้ามองลอดกระจกรถเข้าไป เห็นลูกสาวในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง หน้าเยิ้มจนเป็นเมือก
“แฮร่....ค่ะคุณแม่” ยิ้มแห้งกลบเกลื่อนเรื่องที่ตัวเองขัดคำสั่ง แหกกฎเหล็กของบ้าน
“ตายแล้วหนูรินทร์ แล้วทำไมสภาพเป็นอย่างนั้นเล่าลูก” คุณย่าในวัยแปดสิบกว่า แต่ทว่ายังแข็งแรงดียกมือขึ้นมาทาบอก
“นี่คงจะจัดหนักกันเลยสิ” มนตกานต์คาดเดาไปถึงงานปาร์ตี้ฉลองการกลับมาจากเมืองนอกเมื่อคืนนี้
อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่ลูกสาวจอมแก่นของเธอกลับบ้านมาในสภาพนี้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่บรรดาวัยรุ่นสาว ๆ รวมตัวจัดปาร์ตี้ นารินทร์ก็กลับบ้านมาสภาพนี้เป็นประจำ ไม่เหมือนลูกชายคนรองอย่างการันต์ รายนั้นนอกจากสุขุมลุ่มลึก ยังสุภาพนุ่มนวล จะกิน จะดื่มเมื่อถึงยามจำเป็นต้องออกงานสังคมเท่านั้น
“ก็จัดหนัก จัดเต็มอยู่เหมือนกันค่ะคุณแม่ ยันหว่างงงงงงง” ตาโตกะพริบปริบ ๆ นึกไปถึงพ่อหนุ่มกล้ามโตที่นอนโยกกันจนเกือบฟ้าสาง
“เอาเถอะรีบไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้วลูก แล้วนี่กลับมาเวลานี้ จะมีแรงไปบริษัทกับคุณพ่อเขาหรือเปล่า”
“โอ้ววว สบายมากค่ะคุณแม่ เที่ยวได้ ก็ต้องทำงานได้” คำอุทานติดสำเนียงอย่างฝรั่งดังมาจากลูกรัก มือไม้ออกท่าทางพยายามกลบเกลื่อนพิรุธ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเถอะ”
ไข่มุก : ยัยรินทร์ ! // เสียงเพื่อนสนิทตวาดแหลมดังทะลุโทรศัพท์จนนารินทร์ถึงขนาดต้องเบี่ยงหูหลบ เพราะกลัวเยื่อแก้วหูทะลุ
นารินทร์ : อะไรขอแกยัยมุก
ไข่มุก : ทำไมแกเป็นคนอย่างนี้ ฉันอุตส่าห์ไปเสาะแสวงหา หนุ่มน้อยวัยกระเตาะกรุบ ๆ กรอบ ๆ ใส่พานมาให้ แล้วแกปล่อยให้น้องเขานั่งรอแกในห้องจนถึงเช้าเนี่ยนะ นี่แกรู้มั้ยว่าฉันจ่ายค่าตัวน้องเขาไปตั้งสามหมื่นนะยัยรินทร์
นารินทร์ : ฮะ แกว่าอะไรนะ! // นารินทร์ตาเหลือก หันขวับมองโทรศัพท์มือถือตัวเอง ด้วยลางสังหรณ์ประหลาด
ไข่มุก : ไม่ต้องมาฮง มาฮะ เลยนะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งกับรูจีแกแล้ว มันจะตีบ มันจะตัน ก็เรื่องของแก ถ้ารู้ว่าแกไม่เอาน้องเขา สู้ฉันเก็บเอาไว้กินเองดีกว่า เสียเวลาจริง ๆ เลย
นารินทร์ : เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวนะ ยัยมุกเมื่อกี้แกว่าอะไรนะ // นารินทร์ถึงกับสะอึก เมื่อจับต้นชนปลายประโยคตัดพ้ออันยาวเหยียดของเพื่อนได้
ไข่มุก : ก็เมื่อกี้น้องอะตอมโทรมาหาฉัน บอกว่าเขานั่งรอแกอยู่ในห้องทั้งคืน แต่แกไม่ได้เข้าไปสะหวีวี้วีกับน้องเขา แกรู้หรือเปล่าว่ากว่าฉันจะดิวน้องเขามารับงานได้มันยากขนาดไหน
นารินทร์ : น้องอะตอมนั่งรอฉันทั้งคืน แล้ว..... // ขาขยับถ่างออกจากกัน จากนั้นหน้าก้มลงไปมองหลักฐานการเสียพรหมจรรย์ของตัวเอง ความรีบร้อนออกมาจากห้อง จนไม่ได้ใส่กางเกงในเพราะหาไม่เจอ อีกทั้งเนื้อหนังตรงนั้นบวมฉึ่ง พื้นที่โดยรอบยังหลงเหลือรอยแดงจากการถูกกระแทกซ้ำ ๆ เป็นหลักฐานมัดตัว ตาโตถลนเบิกกว้าง ขาสั่นจนแทบไม่มีแรงก้าวขาลงจากรถ
ไข่มุก : ก็ใช่นะสิ น้องเขาโทรมาหาว่าฉันหลอกลวง นี่ดีนะที่ฉันโอนเงินค่าตัวให้น้องเขาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันต้องกลายเป็นมิจจี้ ออกข่าวดังไปแล้วเนี่ย
นารินทร์ : ถ้าน้องอะตอมยังอยู่ดี แล้วไอ้ที่ฉัน.... // ภาพใบหน้าของตาลุงกล้ามโตที่ยืนโยก นั่งขย่ม สะบัดเอวบดบี้ปี้เอทั้งคืนนั้นคืนใครกัน
“แล้วตาลุงเมื่อคืน ตายแล้วนารินทร์ ฉันไปเอากับใครมาเนี่ย”
ความกลัดกลุ้มในใจเบาบางลงได้บ้าง เมื่อคิดว่าตลอดคืนที่ผ่านมานั้นมีการป้องกันอย่างดี ที่สำคัญต่างฝ่ายต่างไม่มีใครสนใจถามไถ่ชื่อของกันและกัน นั่นแปลว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่รู้ตัวตนของเธอแน่
“พี่รินทร์ ทำไมเดินแปลก ๆ เป็นอะไรหรือเปล่า” การันต์น้องชายฝาแฝดเอ่ยถาม เมื่อเห็นท่าเดินเก้ ๆ กัง ๆ ไม่กระฉับกระเฉงของพี่สาว
“อ่อ เดินชนโต๊ะน่ะ”
“ฮะ โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เลิกชนโต๊ะ ชนเก้าอี้อีกเหรอ”
“ยุ่งน่า”
“แล้ววันนี้การันต์กับนารินทร์ พร้อมสำหรับการเข้าไปเริ่มงานที่บริษัทใช่มั้ยลูก” ภารัญ ประมุขใหญ่ของบ้านเอ่ยถามลูกสาว ลูกชายทั้งสองคน
“พร้อมครับคุณพ่อ” การันต์ลูกชายคนรอง ที่ถอดแบบคนเป็นพ่อมาทุกกระเบียดนิ้วยิ้มน้อย ๆ ผิดกับนารินทร์ที่นั่งเบ้หน้าเหมือนมีความเห็นไม่ตรงกัน
“แต่หนูรินทร์ มีไอเดียที่ดีกว่าค่ะคุณพ่อ”
“อะไรอย่างนั้นเหรอลูก”
“เรื่องที่คุณพ่อจะให้การันต์ไปเปิดตัวในฐานะว่าที่ท่านประธานคนถัดไป หนูรินทร์ไม่คัดค้าน แต่สำหรับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการของหนูรินทร์ หนูรินทร์มีไอเดียอื่นค่ะ” สาวสวยจอมวางแผนดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ พร้อมใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ที่ภารัญเห็นมันบ่อย ๆ สมัยภรรยาตัวเองยังสาว
“หนูรินทร์มีไอเดียอะไรลูก”
“ไหน ๆ บริษัทเราก็จะเปลี่ยนน้ำอยู่แล้ว ก่อนจะเปลี่ยนน้ำรีเซ็ตทีมผู้บริหารใหม่ หนูรินทร์คิดว่าเราควรจะแทรกซึมเข้าไป เพื่อฟังความเห็น รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะของพนักงานนะคะ”
“แต่เรามีการทำแบบประเมิน แบบสอบถามอยู่แล้วนี่”
“นั่นมันเป็นการประเมินอย่างเป็นทางการ ที่ไม่แน่ว่าผู้ทำการประเมิน จะตอบคำถามตามความจริงหรือเปล่า เพราะอย่าลืมนะคะว่า แบบประเมินนั้น ถูกเก็บรวบรวมโดยหัวหน้างาน ผู้จัดการ ที่อาจนำมาซึ่งข้อมูลอันมีความบิดเบี้ยว” คนที่เรียนจิตวิทยาเกี่ยวกับพฤติการณ์พนักงานคนในองค์กรมาโดยตรงเสนอความเห็น
“แล้วหนูรินทร์มีความเห็นยังไง....”
นารินทร์ที่บินไกลไปร่ำเรียนศึกษาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ เพื่อการพัฒนาองค์กร หวังจะนำความรู้เหล่านั้นกลับมาช่วยบริหารจัดการธุรกิจของครอบครัว เดินเข้ามายังแผนกบริหารการจัดการปะปนกับพนักงานฝึกหัดและเด็กฝึกงานหลายคน โดยลูกสาวเจ้าของบริษัทถูกแนะนำในฐานะพนักงานน้องใหม่ธรรมดา ๆ เท่านั้น
หลังจากได้รับอนุญาตจากผู้เป็นพ่อ ในการเข้ามาขอแอบฟังความคิดเห็นเชิงลึก จากพนักงานโดยตรงแบบไม่ผ่านกองเซนเซอร์ หรือผ่านหัวหน้างาน หัวหน้าฝ่าย หรือเรียกง่าย ๆ คือการเข้ามาฟังพนักงานนินทาเจ้านายลับหลัง ลูกสาวคนโตที่ชอบเล่นพิเรนทร์จึงผันตัวเองจากลูกสาวเจ้าของบริษัทมาห้อยบัตรพนักงานต๊อกต๋อยแทน
“วันนี้คุณภารัญพาลูกชายมาเข้ารับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ หล่อมากหน้าเหมือนคุณภารัญเป๊ะ”
“ครอบครัวนี้หน้าตาดีกันทั้งบ้านจริง ๆ นี่เธอว่าคุณการันต์มีแฟนหรือยัง”
“หล่อขนาดนั้นคงไม่รอดมาถึงมือพวกเราหรอกมั้ง”
"รอดมาแล้วยังไง หล่อ รวย เพอร์เฟคขนาดนั้น เขาจะชายตาแลพนักงานอย่างพวกเราเหรอ”
“ก็ไม่แน่นะ ดูอย่างคุณภารัญสิ ยังแต่งงานกับคุณมนตกานต์ได้เลย เห็นว่าเป็นแค่ลูกชาวนาธรรมดา ๆ เท่านั้น”
นารินทร์นั่งเงี่ยหูฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์น้องชายฝาแฝดอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ออกความเห็น ทั้งที่ใจจริงอยากยื่นปากเข้าไปบอกสาว ๆ เหล่านั้นเหลือเกินว่าน้องชายฝาแฝดของเธอนั้น เคร่งครัดในกฎบ้านมากกว่าเธอสามร้อยเท่า ไม่ใช่แค่ไม่ชายตาแลใคร แต่ยังทำตัวเหมือนเตรียมจะออกบวชตลอดเวลาด้วย
“น้องรินทร์คะ งานที่พี่สั่งเสร็จหรือยังคะ” รุ่นพี่คนหนึ่งชะเง้อคอพ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์มาถามน้องใหม่ที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุด
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวช่วยพี่ ยกเอกสารชุดนี้ขึ้นไปส่งที่แผนกจัดซื้อทีนะ” พนักงานคนเดิมเดินหอบเอกสารตั้งใหญ่มาแบ่งครึ่งวางลงบนโต๊ะ แล้วพยักหน้าให้นารินทร์เดินตาม
สายตาช่างสังเกตมองส่วนที่เป็นขอบเขตของแผนกใหญ่ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติอันไม่ชอบมาพากล หากแค่คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงไม่กี่วันยังไม่รู้แน่ว่า อะไรทำให้นารินทร์รู้สึกอย่างนั้น
“เรื่องใบเสนอราคาที่ส่งให้บริษัทเค เรียบร้อยใช่หรือเปล่า”
“เรียบร้อยพี่ ถ้าทางนั้นตกลงเซ็นสัญญา งานนี้....”
พนักงานชายแขวนป้ายตำแหน่งฝ่ายจัดซื้อที่กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงเครื่องถ่ายเอกสาร หันมามองพนักงานน้องใหม่ ที่เหลือบสายตาขึ้นไปพอดี จากนั้นทั้งสองคนจึงขยิบตาให้กันแล้วเดินหายไปยังป้ายบอกทางไปห้องน้ำชาย บทสนทนาเหมือนธรรมดา แต่นารินทร์กลับรู้สึกไม่สบายใจยังไงบอกไม่ถูก
“พี่คะ พี่ลงไปก่อนนะคะ หนูรินทร์ขอแวะไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว” ลูกสาวเจ้าของบริษัทเดินตามหลังลังเลว่าจะตามเข้าไปในห้องน้ำชายดีหรือเปล่า จนเมื่อได้ยินบทสนทนาต่อเนื่องเรื่องเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
“ส่วนแบ่งเหมือนเดิมนะ”
“ไม่มีปัญหา ถ้าผมนัดทางนั้นได้เมื่อไหร่ ผมจะรีบบอกพี่ทันที”
“รีบปิดการขายแล้วกัน ไม่รู้ว่าลูกชายของคุณภารัญจะเคี่ยวมากน้อยแค่ไหน ถ้างานนี้หลุดมือไปเสียดายแย่” เสียงพื้นรองเท้าสองคู่ขยับ นารินทร์จึงรีบหมุนตัวกลับแล้วแสร้งหยิบมือถือออกมากดเข้าแอปพลิเคชั่นช้อปปิ้งออนไลน์ เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้กับพนักงานซีเนียร์ทั้งสอง
“น้องพนักงานเข้าใหม่เหรอ” คนที่เดินรั้งท้ายหันมาทักทาย นัยน์ตาหวานเยิ้มอย่างคนเจ้าชู้เปิดเผย
“ค่ะ”
“นารินทร์ ชื่อเพราะจังเลย อยู่แผนกบริหารการจัดการอย่างนั้นเหรอ สงสัยพี่ต้องลงไปกินกาแฟชั้นนั้นบ่อย ๆ แล้ว”
“ด้วยความยินดีค่ะ” นารินทร์ยิ้มหว่านเสน่ห์ เดินเลี่ยงไปขึ้นลิฟต์เพื่อกลับมาทำงานต่อ ในใจขบคิดประโยคกำกวมน่ากลัวของสองหนุ่ม
“อุ้ย!”
ความคิดเลื่อนลอยมาสะดุดเมื่อมือหนึ่งฉุดลากเธอเข้ามาหลบยังห้องสำหรับควบคุมระบบไฟที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องเก็บไม้กวาดนิดหน่อย ริมฝีปากนุ่มทาบทับบดจูบลงมาอย่างไม่ปรานี
“นี่ลุง! มาได้ยังไงเนี่ย” ทั้งที่นารินทร์เกือบลืมผู้ชายคนนี้ไปเสียสนิท เพราะไม่คิดว่าโลกมันจะกลม จนเหวี่ยงให้เธอกลับมาเจอคนที่เผลอไปนอนกับเขาครั้งแรก
“เธอบอกว่า ถ้าฉันหื่นเมื่อไหร่ให้โทรหา แต่เธอลืมไปหรือเปล่าว่าไม่ได้ทิ้งเบอร์โทรเอาไว้ให้ฉัน ฉันเลยต้องมาที่นี่ไง”
คืนนั้นหลังจากธันวาถูกทิ้งให้อยู่กับซากถุงยางอนามัย กับกางเกงในลูกไม้สีดำ เขาโทรหาบอดี้การ์ดให้ติดต่อภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม ต้องการรู้ว่าสาวน้อยต้นตอทำให้เขาปวดเอวทั้งคืนนั้นเป็นใคร จนรู้แน่ชัดว่าสาวพรหมจรรย์สุดเร่าร้อนคนนี้มีดีกรีไม่ธรรมดา
“แต่ว่านี่มันที่ทำงานของหนูรินทร์นะคะ”
“ฉันไม่สนว่าจะเป็นที่ไหน ฉันรู้แค่ว่าตอนนี้....ไอ้นี่ของฉันมันแข็งขึ้นมาแล้ว” เป้ากางเกงตึงดุนขยับมาเบียดลงตรงกระโปรงสั้นของนารินทร์
“อู้ววว” เจ็ดวันที่ผ่านมา นารินทร์พยายามลบความทรงจำส่วนของคืนนั้นทิ้ง แต่ไม่คิดว่าตาลุงคนนี้กลับกำลังพยายามลากเธอให้กลับไปบนเตียงนั้นอีกครั้ง
“ไง คิดถึงลุงบ้างหรือเปล่า” ใบหน้าโน้มลงไปจูบซอกคอหอม ก่อนจะขบติ่งหูเบา ๆ ลิ้นเรียวสะบัดเลียซอกคอขาวอย่างหวังผล
“คุณลุง” มือสั่นเลื่อนลงไปกุมเป้ากางเกงใหญ่ ลูบไล้มือไปตามความยาวอันใหญ่โต
ปลายนิ้วยาวอันเชี่ยวชาญ เลื่อนล้วงขึ้นไปใต้ชายกระโปรงสั้น จากนั้นวนเวียนลูบเล้าโลมอารมณ์คนอายุน้อยกว่า ขณะที่ปลายลิ้นสอดสำรวจดูดซับความหอมหวานจากโพรงปากอันอุ่นชื้น จูบลื่นไถลต่ำลงมาคลอเคลียอยู่กับเนินอกนั้นจนธันวาแทบอดรนทนไม่ไหว
“ไหนมาดูสิว่า หนูรินทร์ยังจำคุณลุงคนนี้ได้หรือเปล่า” นิ้วสอดผ่านซอกกางเกงชั้นใน เข้าไปยังส่วนลึกอันเปียกลื่น บ่งบอกให้ธันวารู้ว่าไม่ใช่เพียงเขาคนเดียวที่กระหายและโหยหาคิดถึงแม่สาวน้อยคนนี้
“ไม่ใช่ที่นี่ค่ะ” มือเย็นหยุดการเคลื่อนไหวของหนุ่มใหญ่
“เยิ้มขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ” ธันวายกนิ้วยาวขึ้นมาเลียละเลียดเบา ๆ
นารินทร์เพียงยื่นหน้าขยับเข้าไปหา แลบลิ้นออกไปร่วมเลียน้ำหวานติดกลิ่นคาวจาง ๆ ปลายลิ้นอ่อนของสองคน สะบัดวนเลียรอบนิ้วเดียว แล้วพุ่งประกบเข้าหากันอีกครั้ง
“คืนนี้ว่างหรือเปล่า” ปลายจมูกโด่งซุกเข้าไปตรงซอกคอขาว มือหยาบออกแรงบีบหน้าอกนุ่ม ใช้นิ้วหยิกลงไปตรงส่วนปลายยอดอกแหลมเรียวจนนารินทร์ถึงกับสะดุ้ง
“ว่างค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ไปเจอกันหน่อยมั้ย...ที่เดิม”
“คุณลุง หายปวดเอวแล้วเหรอคะ” นารินทร์สะบัดมือลงไปฟาดก้นใหญ่แบบราบของคนอายุมากกว่าหลายปี มือบีบขยำก้นนั้นอย่างคนขี้เล่น
“หายแล้ว...แต่อยากปวดเอวอีก”