ระหว่างที่เดินเสิร์ฟเครื่องดื่มลูกค้าโต๊ะอื่นก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปที่โต๊ะแปดของหนุ่มหล่อทั้งสี่ เธอเห็นพี่ผู้หญิงผมลอนสีน้ำตาลโต๊ะหกเดินเข้าไปที่โต๊ะแปด เหมือนว่าเป้าหมายที่พี่ผู้หญิงผมลอนคนนี้หมายตาล็อคเป้าเอาไว้จะเป็นผู้ชายหน้าหล่อนัยน์ตาคมดุที่เธอเคยรู้จักและเคยสนิทด้วยเมื่อนานมาแล้ว
นิรดามองภาพที่ทั้งสองคนคุยกันไม่กี่วินาทีก็หันหน้ากลับมาโฟกัสงานของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความขยันขันแข็งไม่คิดที่จะกินแรงเพื่อนร่วมงานคนอื่น ถึงวันนี้จะไม่ใช่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ทว่าลูกค้าก็เข้ามาใช้บริการอย่างเนืองแน่นร้าน เต็มทุกโต๊ะ พนักงานเสิร์ฟทุกคนทำงานกันอย่างหนักหน่วงแทบไม่ได้หยุดพัก ทว่าการทำงานหนักมันก็มาพร้อมทิปที่หนักเช่นกัน
กว่าลูกค้าจะเริ่มบางตาก็เกือบจะถึงเวลาเที่ยงคืนในอีกไม่กี่นาที นิรดาจึงถือโอกาสช่วงนี้ที่ไม่ค่อยมีงานเสิร์ฟเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังร้าน
เมื่อได้เจอคนที่เคยอยู่ในช่วงเวลาวัยเด็ก ภาพเหตุการณ์ต่างๆในช่วงเวลานั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ ฉายซ้ำไปมา แน่นอนว่ามันมีทั้งภาพจำที่ทำให้เธอมีความสุขและภาพจำที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ โดยเฉพาะภาพจำแสนโหดร้ายที่เธอกับแม่เดินออกมาจากบ้านหลังนั้น... บ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด จำความได้เธอก็เห็นบ้านหลังนี้แล้ว
‘เราจะไปไหนกันเหรอคะคุณแม่ แล้วทำไมเราจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วย ทำไมเราไม่อยู่ที่บ้านของเราเหมือนเดิมล่ะคะ’ นิรดาในวัยเก้าขวบที่ยังอยู่ในชุดไว้ทุกข์ให้บิดาเงยหน้าขึ้นไปถามมารดาที่กำลังเดินจูงมือเธอออกจากบ้านหลังใหญ่ที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด
‘...’
‘หนูนิ่มอยากอยู่ที่บ้านของเรา หนูนิ่มไม่อยากไปอยู่ที่อื่น’
‘...’
‘เราอยู่ที่บ้านของเราเหมือนเดิมนะคะ นะคะคุณแม่ หนูนิ่มไม่อยากย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น หนูนิ่มอยากอยู่ที่บ้านของเรา’
นิรดาพร่ำบอกมารดาอย่างน่าสงสาร แน่นอนว่ามารดาของเธอไม่ได้ตอบคำถามของเธอเลย ไม่ว่าเธอจะพูดจะถามอะไรออกไปมารดาก็ไม่ยอมตอบยอมพูดอะไร สิ่งที่ท่านทำคือการมองหน้าเธอด้วยสายตาเศร้าโศกแล้วร้องไห้ไม่หยุด มือเรียวของท่านจับกระชับมือเล็กของเธอแน่นขึ้น ก่อนจะพาเธอเดินออกไปขึ้นรถรับจ้างที่จอดรออยู่หน้าประตูรั้วบ้าน
นิรดามารู้สาเหตุที่ต้องออกมาจากบ้านหลังนั้นก็ตอนที่ตัวเองอายุสิบสองปีหลังจากที่เธอย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นได้เกือบสามปี... มารดาไม่ใช่คนที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง ที่เธอรู้ก็เพราะบังเอิญ(แอบ)ได้ยินมารดาพูดคุยกับน้านาตยา
ไม่ใช่พูดคุยสิ... เพราะทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง มีใจความประมาณว่า...
บิดาของเธอถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย
บ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่ก็ติดจำนองกับธนาคาร
มารดาของเธอที่ตอนนั้นไม่มีเงินไปไถ่ถอนบ้านคืนและไม่มีเงินที่จะจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารก็เลยต้องพาเธอย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นมาอยู่ที่บ้านหลังเล็กของคุณตาคุณยายที่ยกให้มารดาของเธอ เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวและชิ้นสุดท้ายที่มารดาของเธอมี และตอนนี้มันกำลังจะถูกน้าสาวของเธอนำไปจำนองกับธนาคาร แต่ทว่ามารดาของเธอไม่ยอมทั้งสองคนก็เลยมีปากเสียงกัน
‘ที่พี่นิลไม่ยอมให้ฉันเอาบ้านไปจำนองกับทางธนาคารเพราะกลัวฉันจะทำร้านเจ๊งจนไม่มีปัญญาหาเงินมาส่งค่างวดธนาคารเหมือนผัวพี่งั้นเหรอ’
‘ยัยนาต!’
‘พี่นิลจะโกรธทำไมในเมื่อฉันพูดเรื่องจริง ที่พี่ได้หอบลูกกระเซอะกระเซิงหมดสภาพกลับมาบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่เพราะผัวเศรษฐีของพี่ทำบริษัทเจ๊งหรอกเหรอ แต่พ่อผัวแม่ผัวพี่ก็เกินไปนะถึงจะไม่ชอบพี่ก็น่าจะยื่นมือมาช่วยเหลือหลานบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้พี่เลี้ยงลูกอดๆอยากๆตามยถากรรมแบบนี้ คนอะไรใจจืดใจดำกับหลานตัวแค่นี้ก็ไม่เว้น’
‘แล้วแกจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไม’ มารดาของนิรดามองน้องสาวตัวเองตาขวาง ไม่พอใจที่อีกฝ่ายพูดถึงพ่อแม่ของสามีที่ไม่เคยยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้ สิบปีที่เธอแต่งงานอยู่กินกับสามีนับครั้งได้ที่พ่อแม่สามีจะมาที่บ้าน ส่วนเรื่องที่น้องสาวบอกว่าเธอเลี้ยงลูกให้อดๆอยากๆตามยถากรรมก็อยากจะเถียงอยู่หรอกแต่เถียงไม่ออก แม้เธอจะไม่ได้ให้ลูกอดอยากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณภาพชีวิตของหนูนิ่มลูกสาวของเธอเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้
เมื่อก่อนเธอซื้อเสื้อผ้าให้ลูกราคาหลักพันบางชุดถึงหลักหมื่นทว่าตอนนี้เสื้อผ้าที่เธอซื้อให้ลูกได้คือราคาหลักร้อยที่ขายตามตลาดนัด ไหนจะโรงเรียนของลูกที่เมื่อก่อนหนูนิ่มเรียนที่โรงเรียนอินเตอร์ระดับประเทศที่ค่าเทอมแพงหูฉี่ทว่าตอนนี้ลูกสาวเธอต้องมาเรียนที่โรงเรียนขยายโอกาสของรัฐ
‘ก็มันอดไม่ได้นี่ ไม่ใช่ลูกสะใภ้คนโปรดแล้วยังไง ถึงยังไงพี่ก็เป็นเมียลูกชายเขาปะ แถมมีลูกด้วยกันอีก ไม่รู้จะโกรธจะเกลียดอะไรนักหนา’ นาตยาพูดเสียงขึ้นจมูกไม่พอใจ ก่อนจะวนกลับมาที่เรื่องตัวเอง ‘ส่วนเรื่องบ้าน พี่ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะไม่มีเงินจ่ายค่างวดให้ธนาคาร ไม่ถึงสองปีฉันจะเอาเงินก้อนไปโป๊ะเอาโฉนดบ้านมาคืนพี่แน่นอน’
‘สองแสนใช่มั้ยที่แกอยากได้?’
‘หือ? พี่นิลจะให้เงินฉันงั้นเหรอ ก็ไหนพี่บอกว่าไม่มีเงินแล้วไง’
‘เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พี่มี พี่ตั้งใจจะเก็บเอาไว้เป็นทุนการศึกษาของหนูนิ่ม แกสัญญานะยัยนาตว่าถ้าร้านอยู่ตัวแล้วต้องรีบเอาเงินมาคืนพี่’
‘ฉันสัญญา ไม่เกินสองปีพี่นิลได้เงินสองแสนคืนทุกบาททุกสตางค์แน่นอน’
นิรดาที่แอบฟังอยู่หลังประตูมองหน้ามารดาสลับกับน้าสาว มารดาของเธอใบหน้าเศร้าอย่างชัดเจน ส่วนน้าสาวของเธอก็ยิ้มกว้างชัดเจนเช่นกัน
เธอไม่รู้ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไร ร้านเสริมสวยของน้าสาวเป็นยังไง น้าสาวได้เอาเงินสองแสนบาทมาคืนมารดาของเธออย่างที่รับปากเอาไว้หรือเปล่า แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงสองปีทั้งสองคนก็กลับมาทะเลาะกันอีกครั้ง
และเรื่องที่ทั้งสองคนทะเลาะกันก็คือเรื่อง... โฉนดบ้าน