“กลับมาแล้วเหรอ”
คำถามของน้าสาวที่เอ่ยถามขึ้นทำให้นิรดาที่กำลังจะเดินเข้าห้องตัวเองต้องหยุดเดินเพื่อหันไปมอง ตอบคำถามน้าสาวสั้นๆน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ค่ะ”
“พรุ่งนี้เงินเดือนออกก็อย่าลืมโอนค่าเช่าบ้านส่วนของแกมาด้วยล่ะ”
“ไม่ลืมค่ะ พรุ่งนี้นิ่มโอนให้”
“บิลค่าไฟอยู่ที่หลังตู้เย็นพรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้ว อย่าลืมเอาไปจ่ายด้วยล่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่มายกหม้อแปลงไปเหมือนบ้านตรงข้ามแล้วจะยุ่งต้องวุ่นวายไปทำเรื่องที่เขตอีก”
“ปกติค่าไฟน้านาตก็เป็นคนจ่ายทุกเดือนนี่คะ แล้วทำไมเดือนนี้ถึงจะให้นิ่มจ่าย” นิรดาสงสัย แค่น้าสาวให้เธอออกค่าเช่าบ้านช่วยครึ่งหนึ่งเธอก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมแล้ว แต่เพราะไม่อยากมีปัญหาเธอก็เลยยอมจ่ายเพื่อให้เรื่องมันจบ แต่ถ้าให้จ่ายค่าไฟด้วยเธอรู้สึกว่ามันเกินไป
“ก็ตอนนี้แกหาเงินได้แล้วก็ช่วยๆกันไปก่อนสิ ค่าไฟไม่ถึงสองพันแกจะบ่นอะไรนักหนา อย่าลืมสิว่าตั้งแต่ที่แม่แกตายกี่ปีที่ฉันเลี้ยงแกมา เสียเงินกับแกหมดไปตั้งเท่าไหร่ ทั้งจ่ายค่าเทอมให้แกได้เรียนหนังสือ ให้เงินแกไปโรงเรียน เพิ่งจะมีก็แค่ไม่กี่เดือนนี้ไหมที่ฉันให้แกออกเงินช่วยค่าเช่าบ้าน”
“แต่เงินที่น้านาตพูดมาทั้งหมดมันคือเงินของแม่ แล้วก็เงินที่น้านาตได้จากการขายบ้านของแม่” ตอนพูดโน้มน้าวให้มารดาของเธอยินยอมเซ็นมอบอำนาจให้เป็นผู้จัดการมรดกเพื่อที่ตัวเองจะได้ขายบ้านก็สัญญาดิบดีว่าจะดูแลเธออย่างดี จะย้ายเธอไปเรียนที่ดีกว่าเดิม และจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนให้เธอได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผ่านมาไม่ถึงสามปีอย่าว่าแต่เงินที่จะเก็บเอาไว้ให้เธอเรียนต่อมหาวิทยาลัยเลย แค่เงินจ่ายค่าเทอมให้เธอมีสิทธิเข้าสอบเพื่อจบมัธยมปลายก็ยังไม่มีจนเธอต้องไปหางานทำเพื่อเอาเงินมาจ่ายค่าเทอมเอง
เท่านั้นยังไม่พอ พอรู้ว่าเธอทำงานหาเงินได้ก็เรียกร้องให้เธอจ่ายค่าเช่าบ้านช่วยครึ่งหนึ่ง แล้วนี่ยังจะมาบังคับให้เธอจ่ายค่าไฟอีกเหรอ
เงินสี่ล้านที่ได้จากการขายบ้านมันไม่ใช่น้อยๆ แต่น้าสาวของเธอสามารถใช้หมดภายในระยะเวลาไม่ถึงสามปี หรือจริงๆแล้วอาจจะหมดเร็วกว่านั้น เพราะเธอไม่เคยเห็นเงินก้อนนั้นเลย ตลอดระยะเวลาสามปีนอกจากเงินค่าเทอมที่น้าสาวจ่ายให้ห้าเทอมกับเงินไปโรงเรียนวันละหนึ่งร้อยบาทเธอก็ไม่ได้รับค่าใช้จ่ายอื่นจากน้าสาวเลย ที่ผ่านมาถ้าเธออยากได้อะไรก็ต้องทำงานเก็บเงินซื้อเอง
ถามว่าเธอทำงานที่ร้านดื่มเพื่อเมาเป็นที่แรกหรือเปล่า... คำตอบก็คือ
ไม่ใช่!
ก่อนหน้านั้นหลังเลิกเรียนเธอจะไปรับจ้างขายของที่ตลาด ทุกวันเสาร์อาทิตย์เธอจะไปทำงานที่ร้านซักอบรีดที่อยู่ตรงหน้าปากซอย ซึ่งรายได้ตรงนั้นทำให้เธอมีเงินซื้อของที่อยากได้และพอมีเงินเก็บเล็กๆน้อยๆ นิรดาตั้งใจจะเอาเงินเก็บก้อนนี้ไปเป็นค่าหอตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะถ้าขอน้าสาวเพิ่มอีกฝ่ายก็คงไม่ให้ เธอจึงตั้งใจจะหาเงินค่าหอพักเอง
และไม่ใช่แค่งานนอกบ้านที่เธอต้องทำเพราะงานในบ้านทุกอย่างก็เป็นหน้าที่เธอเหมือนกัน บางครั้งเลิกงานกลับบ้านเธอก็ต้องมาเจอกับจานกับข้าวที่กินแล้ววางเกลื่อนเต็มโต๊ะ บางวันก็เป็นกองขวดเหล้าขวดเบียร์ที่น้าเขยชวนเพื่อนมาดื่มแล้วทิ้งเอาไว้ให้เธอกลับมาเก็บกวาด
ชีวิตของคนอื่นเป็นยังไงเธอไม่รู้ แต่ทว่าชีวิตของเธอมันมืดมนลงเรื่อยๆ ความหวังเดียวของเธอคือตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อที่จะได้จบออกไปมีงานดีๆทำ มีเงินเดือนสูงๆ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ เธอไม่ได้วาดฝันให้ตัวเองร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ขอแค่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้เธอก็พอใจแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่งโลกที่มีแต่หมอกควันของเธอก็พังทลายลงตรงหน้าเมื่อครูที่ปรึกษาเรียกเธอไปพบที่ห้องพักแล้วบอกเธอว่าน้าสาวของเธอยังไม่ได้นำเงินไปจ่ายค่าเทอมและค่ากิจกรรมต่างๆให้กับทางโรงเรียน ซึ่งถ้าไม่รีบจ่ายเธออาจจะไม่มีสิทธิสอบและอาจจะทำให้เธอเรียนไม่จบมอปลายพร้อมเพื่อนคนอื่นๆ
วันนั้นนิรดาจำได้ว่าเธอถึงกับช็อก เรียนไม่รู้เรื่อง ข้าวเที่ยงก็กินไม่ลง พอเลิกเรียนตอนเย็นกลับบ้านมาถามน้าสาวก็ได้คำตอบว่า... ไม่ได้จ่ายเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้เธอ
เธอถามว่าแล้วเงินของแม่กับเงินที่ขายบ้านได้เงินมันหายไปไหนหมด ซึ่งน้าสาวของเธอก็ตอบกลับมาด้วยประโยคเดิมว่า...หมดแล้ว
จากที่ช็อกอยู่แล้วทำให้ช็อกยิ่งกว่าเดิม เพราะมันหมายความว่าเธออาจจะไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
นิรดารู้ว่าน้านาตยาไม่ได้ใช้เงินทั้งหมดคนเดียว มีคนอื่นช่วยใช้ และคนช่วยใช้ก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสามีเด็กของน้าสาวเธอ แต่ก็นั่นแหละ... ต่อให้มีคนอื่นใช้ด้วยถ้าน้าสาวของเธอรู้จักประหยัด รู้จักใช้เงินเท่าที่จำเป็น เงินมันก็คงไม่หมดเร็วขนาดนี้หรอก
นาตยาโกรธหน้าดำหน้าแดงเมื่อถูกหลานสาวย้อน ความโกรธทำให้เธอยกนิ้วชี้หน้าหลานสาวท่าทางโกรธจัด
“อีนิ่ม! นี่แกกล้าย้อนฉันเหรอ ฉันเป็นน้าแกนะ“
“นิ่มไม่ได้ย้อน นิ่มพูดความจริง น้านาตอาจจะจำไม่ได้ว่ารับปากอะไรแม่เอาไว้ แม่ถึงยอมให้น้านาตขายบ้าน แต่นิ่มจำได้และนิ่มก็จะไม่มีวันลืมว่าน้านาตผิดคำพูดกับแม่”
“อีนิ่ม! อีหลานชั่ว! อีหลานเลว! อีหลานเนรคุณ!”
นิรดาถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายระคนเหนื่อยใจก่อนจะเดินไปหยิบเอาบิลค่าไฟที่วางบนหลังตู้เย็นแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไม่สนใจเสียงด่าทอของน้าสาวที่ดังตามหลังมาไม่หยุด
“อีนิ่ม! อีหลานชั่ว! อีหลานเนรคุณ! จองหองไปเถอะถ้าไม่มีน้าอย่างฉันแล้วแกจะรู้สึก”
และก็เหมือนทุกครั้งเวลาที่เธอกลับเข้าห้องที่เธอจะต้องหยิบรูปครอบครัวสมัยที่เธอยังเด็กขึ้นมาดู มองมันอยู่นานเพื่อซึมซับความรักความอบอุ่นจากสายตาของพ่อแม่ผ่านรูปภาพที่กำลังมองเธออยู่ คงจะมีแต่รูปนี้กระมังที่ทำให้เธอยิ้มได้ และรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดียว
“พ่อคะ แม่คะ หนูนิ่มคิดถึงพ่อกับแม่จังเลยค่ะ”
นิรดายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญอีกเรื่องให้บิดามารดาฟัง
“พ่อกับแม่จำพี่พายที่อยู่ข้างบ้านเราได้มั้ยคะ พี่พายพี่ชายข้างบ้านที่หนูนิ่มชอบวิ่งตามพี่เขาต้อยๆ วันนี้หนูนิ่มเจอพี่พายด้วยนะ พี่พายตัวสูงมากขาวมากแล้วก็หล่อมากๆด้วย ที่สำคัญพี่พายจำหนูนิ่มได้ด้วยแหละ”