“บ้าจริงๆ !!!”
เมื่อเขาเปิดประตูออกมา เขาก็บ่นทันที ไม่ใช่เรื่องสองสาวที่ไม่ยอมหย่าศึก แต่เพราะเขากำลังเครียดเรื่องมารดามากกว่า เขาหายใจแรงจนทำให้หน้าอกกระเพื่อมไหว เขาห้ามความเคียดแค้นที่ระอุขึ้นทุกวินาทีไม่ได้ เสียงสะอื้นของมารดายังวนเวียนอยู่ในหัว เขาไม่อาจสลัดมันให้พ้นไปจากห้วงความคิดได้สักวินาทีเดียว
“ไม่ได้ว่ะ ต้องเคลียร์”
ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออกมา เพื่อจะต่อเบอร์โทรศัพท์ไปยังสายการบินแห่งหนึ่ง ทว่า เขากลับชะงักเพราะประตูห้องติดกันเปิดออกอย่างแรงเพราะฝ่าเท้าของหญิงสาว เธอยังสวมชุดคลุมสีขาวของโรงแรม ผมเปียกปอน เนื้อตัวชุ่มน้ำเหมือนเพิ่งลุกจากอ่าง สีหน้าทั้งแค้นทั้งหวาดกลัว วิ่งออกมาอย่างเร็ว
สภาพของเธอแทบไม่ต่างจากแฝดสาวฤทธิ์แรงของเขาที่ยังรอให้เขากลับไปชำระล้างความบริสุทธิ์ เธอวิ่งผ่านหน้าเข้าไปโดยไม่มองเขาด้วยซ้ำ บางทีเธออาจมองไม่เห็นเขาด้วย
“โอ้...” เธอล่วงหน้าเขาไปไม่ถึงสามก้าว ชายคนหนึ่งโผล่ตามออกมาจากห้องนั้น หมอนั่นอายุน่าจะประมาณสี่สิบ เขายังอยู่ในชุดปกติ มีเสื้อผ้าครบครัน วิ่งตามจับแขนของเจ้าหล่อนไว้
“ใจเย็นๆ น่า” เขาตะคอกด้วยภาษาไทย “ไปพูดกันดีๆ”
“ไม่!” หญิงสาวสะบัดแขนอย่างแรง แล้วอัดเขาเข้าที่ระหว่างขาแบบเต็มแรง จนทำให้เจ้าหนุ่มใหญ่หน้าหื่นนั่นจุกจนหน้าก่ำแดง ทรุดตัวลงจับเป้าตัวเองเหมือนกลัวมันจะหลุดหาย ลงนอนกลิ้งบนพื้นเหมือนจะขาดใจตาย
“ขอโทษด้วย” หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างหวาดๆ ทั้งกลัวทั้งสะใจระคนกัน ก่อนจะวิ่งผ่านร่างนั้นไปอย่างเร็ว ตรงรี่ไปกดเปิดลิฟต์ซ้ำๆ อย่างลนลาน
“อะไรวะ” จอมทัพหันมองชายหนุ่มที่ยังคลานอยู่บนพื้น ด้วยความเจ็บปวด ก่อนหันมองหญิงสาวที่ยังรอลิฟต์ด้วยใจจดจ่อ...หนุ่มใหญ่กับสาวสวยตัวแสบ “หรือตกลงเรื่องเงินกันไม่ลงตัว”
จอมทัพยิ้มเยาะให้ชายหนุ่มที่ยังนอนกลิ้งอยู่บนพื้น เขาเดินไปยังหน้าลิฟต์ ปักหลักยืนข้างๆ หญิงสาว ได้ยินเสียงหายใจรัวเร็วของเจ้าหล่อนแล้วอดขนลุกไม่ได้ เสียงนั้นคล้ายกับหญิงสาวใต้อาณัติขณะกำลังถูกชายหนุ่มกระหน่ำความรุนแรงเข้าใส่ เธอหายใจรัวและเร็วจนหน้าอกตูมเต่งภายในเสื้อคลุมเขยื้อนขึ้นลงนำสายตา เขาอยากมองตรงๆ แต่คงทำไม่ได้ เธอไม่ได้เหนื่อยเพราะเรื่องอย่างว่า เธอเหนื่อยเพราะวิ่งหนีเจ้าหนุ่มใหญ่คนนั้นมาต่างหาก
ดวงตาคู่โตกลมสวยสีนิลเจือไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด คอยหันกลับไปมองข้างหลังบ่อยๆ คงเพราะกลัวว่าเจ้าหนุ่มใหญ่จะลุกตามมา
เธอกังวลและหวาดกลัวจนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก เธอก้าวขาเข้าไปยืนข้างในทันที แล้วกดเลขชั้นที่ต้องการอย่างไม่รีรอ
“เฮ้ย!!!” ชายหนุ่มรีบกระโดดตามเข้าไปอย่างเร็ว เพราะเจ้าหล่อนรีบกดปิดแบบย้ำๆ ก่อนขยับตัวไปยืนชิดริมฝา ไม่สนใจใครทั้งนั้น ไม่มองหน้าเขา ไม่มองสิ่งรอบกาย นอกจากจ้องไปที่เลขชั้นที่กำลังเลื่อนลง จากชั้นสามสิบของโรงแรมหรูสู่ชั้นต้อนรับของโรงแรม
เธอจะไปไหนในสภาพนี้...ชุดคลุมคงไม่เหมาะกับสภาพอากาศหนาวเยือกราวสิบเก้าองศาเป็นแน่
“ครับ...” เขายกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหูแล้วพูดสำเนียงอเมริกัน “ด่วนที่สุดครับ บินพรุ่งนี้ได้เลยยิ่งดี” เขารอเจ้าหน้าที่ปลายสายเช็คตั๋วเครื่องบินสำหรับบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้นอย่างใจเย็นที่สุด ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่แจ้งกลับด้วยน้ำเสียงไพเราะ บอกว่าไม่มีตั๋วเครื่องบินเหลือสำหรับเขาแล้ว แม้แต่ชั้นประหยัดที่เขาไม่เคยนั่ง...
“ไม่เหลือเลยเหรอ”
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ หน้าหงิก งุ่นง่าน อยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหล่อนหันมองเขาด้วยความตกใจ แต่เขาไม่สนใจเธอ เลื่อนหน้าจอเร็วๆ แล้วกดเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนสนิท ก่อนจะกรอกเสียงลงไปด้วยสำเนียงหยาบกระด้างและเต็มไปด้วยคำศัพท์ต่ำกว่าสะดือ จนคนฟังแทบกลืนน้ำลายไม่ลงคอ
เธอไม่น่าโดยสารลิฟต์มาพร้อมไอ้คนหยาบคายคนนี้เลย อย่างนี้เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า
“เออสิวะ หามาเร็วๆ จะบินพรุ่งนี้” เจ้าหนุ่มไม่รู้จะบินไปไหนในวันพรุ่งนี้ “ฉันเช่าในราคาสองเท่า บอกให้เขาปฏิเสธลูกค้าคนนั้นซะ ฉันต้องการ แค่นี้จบไหม”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจบ เขาวางโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น แต่ยังน่ากลัวในความคิดเธอ หมอนี่เป็นคนเอเชียอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าชาติไหน สีผมของเจ้าหนุ่มดำสวยตัดแต่งเนี๊ยบ หน้าตาหล่อระเบิด แววตาเซ็กซี่ที่มีความดุร้ายเจือปน หุ่นเจ๋งอย่างกับนายแบบ สวมเสื้อยืดกางเกงยีนและคลุมทับด้วยแจ๊กเก็ตหนังสีดำ ดูเท่ไม่เบา
“มองผมเหรอ” เขาไม่ได้หันมองหญิงสาวแต่ถามเพราะเห็นเจ้าหล่อนจ้องอยู่หลายวินาทีแล้ว เขาอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่าไม่เคยร่วมรักกับใครในลิฟต์หรอกนะ แต่หากเธอต้องการ เขายอมมีประสบการณ์แรกกับเธอก็ได้
เขาถามด้วยสำเนียงอเมริกัน แต่เธอฟังออกและเข้าใจอยู่แล้ว เธอเป็นเด็กภูเก็ตใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เล็กๆ จึงไม่มีปัญหากับการสื่อสารเมื่อต้องมาเมืองนอก แต่สิ่งที่เธอรู้มากกว่าคำว่ามองผมเหรอของเขา น้ำเสียงนั้นมีแววเหยียดหยามซ่อนอยู่ทุกคำ เธอตอบเขาด้วยความเงียบ
ชายหนุ่มเหล่มองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นเหมือนคนหนาวจัด เขาถอดเสื้อแจ๊กเก็ตออกแล้วยื่นให้ หญิงสาวหันมองเขาด้วยความแปลกใจ สองสายตาประสานกันชั่วแวบ และเป็นเธออที่หลบสายตาร้ายดั่งเสือหิวของเขาไป เธอรับรู้ได้ถึงพลังอันตรายจากชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้
“ไม่เหรอ”
เธอไม่ตอบ แม้แต่จะขอบคุณในความหวังดียังไม่มี
“หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ “เขาบ่นภาษาไทย หญิงสาวหันกลับมองเขา สายตาของเจ้าหล่อนหรี่มองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ เขายิ้มเยาะ เมื่อพูดประโยคภาษาไทยตามหลังออกมา “ไซส์ไลด์รึเปล่าวะ”
ขวัญชนกกัดฟันกรอด หัวใจเต้นรัวเร็วเพราะความโกรธ ผู้ชายพวกนี้เห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องบันเทิงทางเพศเท่านั้น หากเอาเปรียบได้เมื่อไหร่ก็จะฉกฉวยทันที
“ข้างนอกหนาวนะคุณ”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” เธอตอบห้วนสั้น สายตาบอกว่าอย่ามายุ่งกับเธออีก เขาเลิกคิ้วสูง ที่แท้ก็พูดได้ ไม่ได้เป็นใบ้สักหน่อย เขาสวมแจกเก็ตกลับเหมือนเดิม เขาไม่ควรสนใจหญิงสาวแปลกหน้าให้เสียเวลาอีกแล้ว แต่คนที่เขาควรจะสนใจ...คือผู้หญิงแพศยาคนนั้นต่างหาก!!!
“คุณแม่นะคุณแม่ คิดจะยอมให้ผู้หญิงคนนั้นหยามได้ยังไง”
หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งพูดภาษาไทยอีกครั้ง ความจริง เธอควรจะลองขอความช่วยเหลือเขาดู อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไปจากโรงแรมนี้โดยไม่มีจุดหมาย กระเป๋าเสื้อผ้าและพาสปอร์ตของเธอยังอยู่ในห้องนั้น
“คุณเป็นคนไทยเหรอคะ?”
ชายหนุ่มแปลกใจ หันมองหญิงสาว
“ครับ คุณก็...”
ขวัญชนกแค่นยิ้ม น้ำตาคลอเบ้า “ใช่ค่ะ ฉันคนไทย คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ คือฉัน...”
“คุณทะเลาะกับแฟนเหรอ”
“เปล่าค่ะ คือฉันอยาก...ขอยืมเงินคุณสักก้อนหนึ่งเพื่อซื้อตั๋วกลับบ้าน...”
“ยืมเงิน!!”
“ใช่ค่ะ คือฉัน..” เธอพยายามจะอธิบาย แต่ประตูลิฟต์เปิดเสียก่อน ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม หันมามองหญิงสาว ด้วยสายตาดูถูก ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ถ้าคุณยอมให้ผมอึ๊บสักทีสองที ผมจะให้เลยล่ะ เอาไหม”
ขวัญชนกข่มกลั้นความเจ็บปวด มองเขาตาขวาง “ถ้าให้คุณอึ๊บ ฉันกลับไปให้เขาอึ๊บดีกว่า” แล้วเจ้าหล่อนก็กดปิดลิฟต์ แล้วกดกลับขึ้นชั้นบน ชายหนุ่มอ้าปากค้าง มองด้วยความตกใจ
“เฮ้ย!!! เอางั้นเลยเหรอ”
“ไอ้คนลามกจกเปรต ไอ้คนทุเรศ!!!”
หญิงสาวผรุสวาทหลายคำก่อนออกจากลิฟต์ เดินกลับสู่ชั้นเดิมและห้องเดิมที่กลายเป็นสนามรบระหว่างเธอกับตากล้องหนุ่มใหญ่ที่จ้างเธอมาเป็นแบบเพื่อถ่ายภาพขึ้นปก หากยังไม่ทันได้ทำงาน เธอก็ต้องตกใจ เมื่อเขาจู่โจมเข้ามาเพื่อทวงบุญคุณที่เขาเสนอชื่อขึ้นปก ให้ร่วมหลับนอนกับเขาก่อนทำงานในวันรุ่งขึ้น
เขาหลอกเธอมาฟันชัดๆ เพราะไม่มีทีมงานเลยแม้แต่คนเดียว