“ขวัญไม่รู้เลยว่าพี่จะคิดถึงขนาดนั้น”
“เป็นของพี่เถอะขวัญ รับรองหนูได้ขึ้นปกนิตยสารทุกฉบับของเมืองไทย”
“แต่...แต่ขวัญไม่เคยนะคะ” เธอพูดตะกุกตะกัก เขาหัวเราะร่า
“พี่จะทำให้ขวัญเคยเดี๋ยวนี้แหละ ทำให้เคยจนชิน จะได้ไม่ดื้อ ไม่งอแงอีก”
หนุ่มใหญ่ใจทรามขยับฝีเท้าเข้าหาหญิงสาวอย่างย่ามใจ วินาทีนี้ เธอคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ นอกจากวิ่งไปที่ระเบียงแล้วกระโดดลงไป หรือต่อสู้อย่างสุดชีวิต อีกสักครั้ง
“พี่เป๊ก...แต่ขวัญ...เอ่อ...ขวัญมี...” เธอเกือบจะพรวดออกไปแล้วว่าเธอมีวันนั้นของเดือน แต่เพราะสายตาของเธอเหลือบไปเห็นหนุ่มไทยคนเดิมที่เธอเจอในลิฟต์เดินผ่านหน้าห้องไป เธอคิดออกทันทีว่าจะเอาตัวรอดจากเสือร้ายได้อย่างไร
เอาเหอะ...ถึงจะเป็นหนีเสือปะจระเข้ แต่เธอเชื่อว่าจระเข้ตัวนั้น ก็ยังดีกว่าเสือแก่จอมหื่นที่ล่อลวงเธอมาด้วยเล่ห์ด้วยกลอย่างน่ารังเกียจที่สุดคนนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็ตะโกนทันที
“ที่รักคะ ห้องนี้ค่ะ” หญิงสาวเดินแทรกวิญญูที่ยังยืนเกร่ตรงประตูอย่างเร็ว เพื่อกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้อง วิญญูหันไปมองด้วยความประหลาดใจ แปลกใจและฉุนจนหน้าแดง
จอมทัพตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ เจ้าหล่อนก็เข้ามาคล้องแขนและซบไหล่ หญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาเกลียดกลัวเมื่อสักชั่วโมงที่แล้ว หญิงสาวที่ออกปากขอยืมเงินจากเขาเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน หญิงสาวคนนี้เองที่ทำให้เขาย้อนกลับมาที่ห้องพักอีกครั้ง หลังจากลังเลอยู่นานว่าเขาทำอะไรผิดไปรึเปล่า บางทีเจ้าหล่อนอาจมีปัญหาจริงๆ ก็ได้
เขาตัดสินใจกลับมาเพื่อจะเคาะประตูห้องเธอ แล้วยื่นเงินให้เธอสักก้อน โดยให้เธอมอบบัตรประชาชนกับเขาไว้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอใช้หนี้แล้ว เขาถึงจะคืนให้
ทว่า ทุกอย่างกลับตาลปัตรหมดแล้ว เพราะอยู่ๆ เจ้าหล่อนก็กระโจนใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง เปลี่ยนท่าทีชนิดหน้ามือกับหลังเท้าเลยก็ว่าได้ จากสายตารังเกียจเป็นหวานฉ่ำชวนขนลุก
“มาแล้วหรือคะ นึกว่าจะเบี้ยวซะอีก”
“เอ่อ...” ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าของหญิงสาวที่ยิ้มหวานให้เขา ดวงตากลมใสกระพริบปริบๆ เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ทว่า หุ่นเต็มไม้เต็มมือของเจ้าหล่อนไม่ได้ไร้เดียงสาด้วยเลย อีกทั้งกลิ่นกายเนื้อนางที่ไร้การปรุงแต่งจากเครื่องสำอาง มีเพียงกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ กรุ่นจมูก ทำให้เลือดในกายเขาสูบฉีดพลุ่งพล่าน
“ใครจะกล้าเบี้ยวล่ะ คุณมาถึงนี่ทั้งที ผมก็ต้องมาต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่สิ”
“อะไรกันขวัญ หมายความว่าไง” วิญญูก้าวพรวดออกจากห้อง หน้าตาโมโหสุดๆ กัดฟันแน่นจนกรามนูน “ไอ้หมอนี่เป็นใคร”
“คือ...เขาเป็น”
“ผมจะเป็นใครได้” เขารีบแทรก เพราะกลัวเจ้าหล่อนจะทำเสียเรื่อง ด้วยฝ่ามือเย็นเฉียบที่จับแขนเขาไว้นั้น สั่นพั่บๆ เลยทีเดียว เธอคงทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น ดูไม่เหมือนมืออาชีพเอาเสียเลย “ผมเป็นแฟนเธอ”
ตากล้องหนุ่มหรี่สายตาเข้ม มองหญิงสาวอย่างจับผิด “จริงหรือขวัญ ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่า...ตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว เจอกันตรงส่วนไหนของโรงแรมล่ะ ในลิฟต์ ในห้องน้ำ หรือในผับข้างล่าง ดูหงิมๆ คิดว่าเรียบร้อย ใสซื่อ ที่ไหนได้ ไวไฟไม่เบา”
ขวัญชนกเกือบจะผรุสวาทออกไป แต่ชายหนุ่มแตะมือเธอไว้ให้เธอสงบปากสงบคำ เขายิ้ม แต่นัยน์ตาร้าย ขยับปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไร้ความยำเกรงใดๆ
“ถึงเธอจะไวไฟ แต่ก็ไวไฟเฉพาะกับผมเท่านั้น ส่วนหมาตัวอื่นก็ได้แต่เห่าหอนไปวันๆ”
วิญญูกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “แกคิดว่าแกเป็นใคร ไอ้ไก่อ่อน!”
จอมทัพหัวเราะลั่นออกมา ไม่มีวี่แววจะกลัวใคร “เป็นใครก็ช่าง แต่ขอเตือน คราวหน้าคราวหลังอย่ามายุ่งกับแฟนชาวบ้านเขาอีก ไม่อย่างนั้น ศพแกไม่สวย”
อย่าว่าแต่วิญญูเลยที่อึ้ง หญิงสาวในอ้อมกอดเขาก็เช่นกัน เธอเหลือบสายตาตระหนกมองเขาอย่างปราม
“เพิ่งรู้ว่าแฟนขวัญเป็นมาเฟีย สงสัยจะคุมบ่อนคุมซ่องแถวๆ นี้” ตากล้องชื่อดังโต้กลับอย่างหวาดๆ ก่อนหันมาเล่นงานหญิงสาวแทน “ขวัญทำพี่เจ็บมากนะ จำไว้ให้ดี คนอย่างพี่ เจ็บแล้วไม่จำ แต่เอาคืนแน่ อนาคตของขวัญอยู่ในกำมือพี่ อย่าลืมสิ”
“อนาคตของขวัญอยู่ในมือขวัญค่ะ ถ้าพี่จะใช้หน้าที่การงานมาเล่นงานขวัญ เพียงเพราะขวัญไม่ยอมนอนกับพี่ อันนั้นมันก็เหนือการควบคุมของขวัญ เชิญพี่ตามสบายเลย”
จอมทัพขมวดคิ้วมุ่น ก้มมองหญิงสาวในวงแขนอย่างสนใจ ไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีผู้หญิงแบบนี้เหลือในโลก
“พี่ไม่ใช่คนดีอยู่แล้วขวัญ เตรียมรับมือได้เลย”
“ใครกันแน่วะ มาเฟีย”
“ฉันไม่ได้พูดกับแก ไอ้กระจอก!”
“กระจอก!” เขาย้ำคำ ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ที่รัก ไอ้เวรนี่มันว่าผมกระจอก บอกเขาไปสิว่าลีลาผมขนาดไหนแล้วไอ้หนูของผมมัน...สุดยอดแค่ไหน”
หญิงสาวหน้าแดงเถือก ไม่คิดว่าเขาจะป้อนคำถามน่าบัดสีมาให้ แล้วเธอจะตอบเขาอย่างไรดี
“ไหนบอกไม่เคยไง โกหกนี่หว่า”
“ฉัน...”
“ใช่....ไม่เคย” เจ้าหนุ่มตอบเสียงระรื่น “เราแค่ภายนอกกันน่ะ เฮ้อ ทำไมจะต้องมาบรรยายเรื่องส่วนตัวให้คนนอกฟังด้วยวะ เราไปกันเถอะที่รัก ผมอยาก...” เขาลากเสียงยาว ส่งสายตาหวามชวนขนลุก “พาคุณนั่งรถเล่น”
“จริงหรือคะ ดีจังเลย ฉันอยากเห็นแสงสียามค่ำคืน”
“ผมจะพาคุณทัวร์รอบเมืองเลย จากนั้น...” เขาก้มหน้าเข้ามาจะฉกแก้มเพื่อเย้าหยอก เธอหลบหน้าหนีด้วยความตกใจและอายจนหน้าแดงก่ำ “จะพาคุณไปกิน...กินของอร่อย”
“อะไรคะ” เธอถามซื่อๆ แต่วิญญูผู้มักมากในกามเห็นเข้าไปถึงไส้ถึงพุงของเจ้าหนุ่มปากดีแล้วว่าเขาจะพาเธอไปกินอะไร เขาจ้องมองทั้งคู่เขม็ง ก่อนจะหันหลัง เดินกลับเข้าห้อง ปิดประตูปัง
“เดี๋ยวก็รู้”
“เฮ้อ” เธออุทานอย่างโล่งอก รีบผละออกจากชายหนุ่มทันที “ขอบคุณนะคะที่คุณยอมช่วยฉัน”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“ไม่ได้ค่ะ ฉันซาบซึ้งจริงๆ ที่คุณยื่นมือเข้ามาช่วยฉันทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน” เธอคงจะมองเขาผิดไปแต่แรก ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง “ฉันจะไม่ลืมเลยค่ะ ไม่ทราบว่า...”
“ผมไม่ได้ช่วยฟรีๆ” เขายิ้มกริ่ม เธอแปลกใจสีหน้าท่าทางกะล่อนของเขา
“ไม่ฟรี หมายความว่าไงหรือคะ” แววตาของเขาบอกว่าไม่ธรรมดา เธอขนลุกซู่ หรือว่าต้องวิ่งอีกรอบ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ได้คิดค่าบริการแพงขนาดนั้น ผมแค่...”
“แค่อะไรคะ”
“ผมจะไปขับรถเล่น เลยอยากให้คุณไปนั่งรถเป็นเพื่อนหน่อย”
หญิงสาวถึงกับโล่งใจ เรื่องแค่นี้ทำไมเธอจะทำไม่ได้ “ยินดีค่ะ ฉันจะไปกับคุณ”
“งั้นก็ตามมา” เขาบอกขณะเดินนำหน้าเธอไปยังลิฟต์ตัวเดิมที่เพิ่งโดยสารขึ้นมาเมื่อราวๆ สิบนาทีที่แล้ว หญิงสาวลากกระเป๋าเดินตามมาติดๆ
“คุณชื่ออะไรคะ”
“อย่ารู้เลย”
“อ้าว แล้วฉันจะเรียกคุณยังไง”
“แล้วแต่คุณสิ” ประตูลิฟต์เปิดออก ชายหนุ่มผายมือเชิญให้หญิงสาวเข้าไปก่อน ส่วนเขาเข้าทีหลัง จัดการกดเลขชั้นลานจอดรถใต้ดินด้วยตัวเอง “คิดเอาเอง ว่าอยากเรียกผมว่าอะไร”