เสียงประตูหน้าห้องเลื่อนเปิดเบา ๆ ทำให้อัยวาเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้นโดยสัญชาตญาณที่มีอยู่
“พี่อัย ทำไรอยู่อ่ะ”
“อชิเองเหรอ”
เสียงฝีเท้าทะเล่อทะล่าเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ กับกลิ่นฝุ่นจากถนนติดตัวเขาเข้ามาด้วย น้องชายเพียงคนเดียวของเธอที่เหลืออยู่ เด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ ที่เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่กี่เดือน ทั้งที่ป่วยออดแอดมาตั้งแต่เด็ก จนต้องผ่าตัดหัวใจรั่วครั้งใหญ่ไปเมื่อปีที่แล้ว นี่เป็นเหตุผลเดียวที่เธอต้องไปเป็นแม่อุ้มบุญให้กับผู้ชายที่เพอร์เฟกต์เพียบพร้อมอย่างธีร์ธัช
อชิเด็กชายที่เธอเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ตอนเด็ก ๆ แต่ตอนนี้กลับเป็นคนที่คอยพาเธอไปไหนต่อไหนด้วยกันได้แล้ว
“พี่กินข้าวยัง?” อชิถามขึ้น พร้อมกับเสียงจานวางลงเบา ๆ ให้บนโต๊ะ
“วันนี้ผมซื้อข้าวมันไก่เจ้าโปรดพี่เลยนะ เจ้านี้ไก่ไม่แห้งพี่อัยชอบกินมาก”
อัยวานิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะยิ้มส่งให้เพียงเล็กน้อย
“พี่กินข้าวไม่ค่อยลงหรอกช่วงนี้ มันไม่ค่อยหิว แต่ถ้ามีหนังไก่ด้วยพี่ก็จะยอมกินให้”
อชิหัวเราะขึ้นเบา ๆ เหมือนกับรู้ทันเพราะว่าเขาเตรียมมาให้เป็นพิเศษแล้ว
“ผมรู้แหละ ผมเลยบอกลุงร้านข้าวมันไก่ว่าผมขอเพิ่มพิเศษหนังไก่มาให้พี่อัยด้วย” ก่อนจะรีบไปลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามกับพี่สาว
“กินหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ซูบผอมไปกว่านี้ คนจะคิดว่าผมไม่ดูแลพี่สาวตัวเองนะ”
อัยวายิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้ารับช้า ๆ มือข้างหนึ่งยังกอดหมวกไหมพรมเด็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ส่วนอีกข้างก็ยื่นไปบนโต๊ะ อชิหยิบช้อนแล้วยื่นใส่มือให้พี่สาว
“นี่ จานอยู่ข้างหน้านะ ซ้ายนิดนึง ๆ ใช่แล้วพี่อัย พี่เก่งมากเลยอ่ะ” พร้อมกับเทน้ำซุปใส่ถ้วยเล็ก ๆ วางไว้ข้างมือให้พี่สาวอีกด้วย
“พี่อัย พี่ยังฝันถึงเด็กคนนั้นอยู่อีกไหม”
คำถามของน้องชายทำให้อัยวาต้องหยุดชะงัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ เพราะเธอชอบเล่าบอกแล้วอชิก็จำได้เป็นอย่างดี
“ทุกคืนเหมือนเดิมเลย บางทีก็ฝันว่าเขาร้องหาแม่ แต่เขาจะมาร้องไห้หาพี่ทำไมเนอะ เขาก็มีแม่ของเขาอยู่ด้วย”
อชินั่งฟังและนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะหาเรื่องมาชวนคุยไปเรื่อยไม่รู้เบื่อเลยสักนาที
“พี่อัย ไปเดินเล่นกันไหม วันนี้ลมเย็นดีนะ เดี๋ยวผมพาไปเดินแถวสวนข้างคลองอะพี่”
“แต่พี่ไม่อยากไป กลัวคนอื่นมองแล้วสมเพช”
“พี่คิดมากไปปะ พี่จะไปสนใจทำไมคนอื่น พี่ไม่ควรอยู่แต่บ้านนะ ผมจะจูงมือพี่เดินเอง”
เพราะอชิเข้าใจกับทุกอย่างและไม่อยากให้พี่สาวต้องคิดอะไรแบบนั้นเลยสักครั้ง ที่พี่สาวต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้ เพราะทำทุกทางเพื่อหาเงินมารักษาน้องชายเช่นเขา ให้ได้มีชีวิตที่สดใสอย่างวันนี้
“ผมสัญญาเลยว่าจะไม่ปล่อยมือพี่แน่นอน เราจะเดินไปด้วยกัน เดินไปทุกที่ที่พี่อยากจะไปเลยนะพี่อัย”
อัยวานิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้กับความน่ารักนั้นของน้องชายที่มอบให้
“ไปก็ไป ขอบใจนะอชิ ทำไมพี่มีน้องชายน่ารักขนาดนี้นะ”
16:30 น.
บนทางเท้าที่ทอดยาวไปสู่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เสียงฝีเท้าก้าวเดินบนพื้นบล็อกถนนตัวหนอน มือของอัยวากำแน่นอยู่ในอุ้งมือของน้องชายที่เป็นคนนำทางให้ ถึงแม้ดวงตาจะมองไม่เห็น แต่ลมหายใจของอชิที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยได้มากเลยทีเดียว
“ตรงหน้าพี่นี่มีรากไม้ยื่นออกมานะ เดินช้าลงหน่อยพี่อัย” อชิรีบบอกเพราะกลัวพี่สาวจะสะดุดและก้าวพลาด
“ขวามือพี่มีลุงขายไอติมด้วยนะ เจ้านี้ขายมาเป็นสิบปีแล้วอะ พี่คงจำหน้าลุงแกได้แหละ พี่อยากกินไหมพี่อัย”
อัยวายิ้มมีความสุขมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา อย่างน้อยในวันที่มองไม่เห็น เธอก็ยังรับรู้ว่ารอบ ๆ ตัวมีอะไรอยู่ใกล้ ๆ บ้าง
“อชิ…โลกมันยังสวยอยู่ไหมพี่อยากรู้ ท้องฟ้าล่ะเป็นสีอะไร?”
ทั้งคู่หยุดเดินไปครู่หนึ่ง ลมพัดเอาใบไม้ปลิววูบลงมาบนหัวของเธอ อัยวายกมือขึ้นแตะผมเบา ๆ แล้วหัวเราะออกมาครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์
“ยังสวยอยู่นะพี่ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน อากาศไม่ร้อนแล้วเห็นไหม เหมาะจะเดินเล่นพอดีแหละ แต่ทุกอย่างจะสวยกว่านี้อีกนะถ้าพี่สาวของชิได้ยิ้มบ่อย ๆ ยิ้มกว้าง ๆ พี่อัยของผมยิ้มสวยที่สุดในโลกเลย”
อัยวานิ่งเงียบพร้อมกับน้ำตาไหลลงอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว อชิหันมาจับไหล่พี่สาวเบา ๆ เพื่อที่จะให้กำลังใจพี่สาวอีกครั้ง
“พี่อัย อย่าทำหน้าเศร้าแบบนี้สิ โลกนี้มันอาจใจร้ายกับพี่ แต่ผมจะใจดีกับพี่ตลอดไปโอเคไหม”
อัยวาพยักหน้า น้ำตายังไหลอาบแก้มอยู่ไม่จางหาย แต่หัวใจเธอรู้สึกอุ่นขึ้นเหมือนมีใครมากุมมือพาเดินท่ามกลางความมืดมนที่ต้องเจอ
เสียงลมพัดผ่านใบไม้แห้งและเสียงนกกระจอกส่งเสียงดังเจื้อยแจ้วจากเสาไฟฟ้า สองพี่น้องหยุดพักใต้ต้นหูกวางต้นหนึ่ง อชิค่อย ๆ พาพี่สาวนั่งลงที่ม้านั่งไม้ยาว เงาแดดทอดยาวตามกิ่งไม้ ลมยังพัดโชยมาเรื่อย ๆ กลิ่นหญ้าอ่อนกับกลิ่นน้ำจากคลอง ทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนย้อนเวลากลับไปในวันวาน
อชิเหลือบมองใบหน้าของพี่สาวที่นั่งนิ่ง ๆ ใบหน้าเดียวกันกับที่เคยยิ้มให้ตอนซ้อนจักรยานเล่นตอนเด็ก ใบหน้าเดียวกันกับที่เคยนั่งกอดปลอบเขาร้องไห้ตอนพ่อแม่เสีย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูเศร้าและนิ่งเงียบจนไม่คุ้นชิน
“พี่อัยพี่เคยคิดอยากมีลูกมั้ย ลูกจริง ๆ น่ะที่ไม่ใช่แค่ไปอุ้มท้องให้คนอื่นแบบครั้งที่แล้ว”
อัยวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของน้องชายที่นั่งรอฟังอยู่
“ตอนเด็ก ๆ พี่เคยอยากมีลูกมากเลยล่ะ อยากเป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก อยากสอนเขาร้อยเชือกรองเท้า อยากอุ้มปลอบเขาตอนเขาเป็นไข้ อยากเล่านิทานให้เขาฟังก่อนนอน” พร้อมกับหยุดชะงัก เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อีกครั้ง
“ตอนนี้พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่จะเป็นแม่ใครได้อีกไหม พี่กลัวการพลัดพราก พี่กลัวสูญเสีย พี่กลัวกับคำว่าจะไม่มีเขาให้กอด”
น้ำเสียงสั่นเครือที่บอกออกไป เหมือนพูดจากหัวใจและความเจ็บปวดที่ได้รับ อชินั่งฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะตัดสินใจถามพี่สาวออกไปอีกครั้งทั้งที่รู้ว่าไม่ควรจะถาม
“พี่ไม่อยากเจอเขาเหรอ ไม่อยากรู้เลยเหรอว่าเขาหน้าตาเป็นยังไงบ้าง เสียงร้องไห้เสียงหัวเราะเขาเป็นยังไง?”
“อยากสิอชิ แต่พี่ทำแบบนั้นไม่ได้ มันผิดสัญญาว่าจ้างเขา แต่บางครั้งพี่ก็แอบคิดนะว่าถ้าตาพี่มองเห็น พี่ก็เคยคิดว่าพี่อาจจะไปตามดูห่าง ๆ แค่ได้เห็นหน้า ได้มองอยู่ไกล ๆ เขาไม่ต้องมาเรียกพี่ว่าแม่หรอก ไม่ต้องรู้จักพี่ก็ได้”
อชิมองมือของพี่สาวที่กำแน่นอยู่บนตัก เขาเอื้อมไปจับมือคู่นั้นมากอบกุมเอาไว้
“ผมไม่อยากเห็นพี่ติดอยู่กับความเจ็บแบบนี้ตลอดไปนะ ผมรู้ว่ามันยาก ผมอาจไม่เคยเข้าใจได้หมดทุกอย่างหรอก แต่ผมแค่อยากให้พี่รู้ว่าพี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็มีผมที่ยังอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน”
อัยวาเม้มปากแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“ขอบใจนะอชิ พี่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
อชิยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือไปหยิบใบไม้ขึ้นจากพื้น วางลงในมือของพี่สาว
“นี่ ใบไม้จากต้นเดียวกับที่เราปีนเล่นตอนเด็ก จำได้ปะ?”
อัยวาลูบสัมผัสผิวใบไม้ที่อยู่ในมือไปมาเบา ๆ
“ต้นหูกวางข้างคลองเหรอ?”
“ใช่ พี่ปีนสูงกว่าผมอีกนะวันนั้น ผมร้องไห้เพราะกลัวตก แต่พี่กลับหัวเราะแล้วบอกว่า อชิมาดูดาวบนต้นไม้สิ ฮ่า ๆ ๆ แล้วผมก็ปีนขึ้นไปสูงมากจนลงไม่ได้วันนั้นเพราะผมอยากเห็นดาวที่พี่ว่า”
อัยวาถึงกับหัวเราะทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะนั้นเบาแต่ก็ดูมีความสุขแบบไม่ต้องฝืน เหมือนความเงียบในใจเธอผ่อนคลายลงทีละนิด ๆ ไม่ได้มีแต่ความทุกข์ที่คอยกัดกินหัวใจตลอดเวลา
อชินั่งนิ่งมองพี่สาวด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ยื่นมือไปกอบกุมมือของพี่สาวเอาไว้แน่นอีกครั้ง ทั้งอยากให้กำลังใจพี่และตัวเองในเวลาเดียวกัน
“พี่รู้ไหมตอนผมเด็ก ๆ ผมคิดว่าพี่เก่งที่สุดในโลก พี่ปีนต้นไม้สูง ๆ ได้ พี่กล้าทำทุกอย่างที่ผมไม่กล้าทำ แม้แต่หลอกผมว่ามีดาวกลางวันพี่ยังทำให้ผมเชื่อได้เลยนะ”
ความทรงจำวัยเด็กเป็นอะไรที่ทำให้ใจพองฟูเสมอเมื่อนึกถึง อัยวายิ้มตามรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“นั่นมันพี่คนเดิมอชิ คนที่ไม่กลัวอะไรเลย แต่ตอนนี้พี่เหมือนไม่เหลืออะไรแล้ว แม้แต่แสงสว่างในชีวิตของตัวเอง”
“ไม่จริงหรอกพี่อัย พี่ยังมีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่มีใครเอาไปจากพี่ได้เลย”
อัยวานิ่งเงียบรอฟังกับสิ่งที่น้องชายอยากจะพูดบอก อชิเสียงสั่นนิด ๆ แต่พยายามพูดทุกอย่างออกมาด้วยความรักที่มีให้กับพี่สาว
“พี่ยังมีผมอยู่ตรงนี้ พี่ยังมีความกล้าในตัวเองที่มันอาจจะหลับนิ่งสักพัก แต่มันไม่ได้หายไปไหนหรอกผมเชื่อแบบนั้น วันไหนที่พี่อยากลุกขึ้นมาอีก ผมจะอยู่ตรงนี้กอดพี่ไว้แน่น ๆ เหมือนวันนั้นบนต้นไม้ แล้วผมจะบอกพี่ว่าดูสิพี่อัยดาวดวงนั้นมันกลับมาแล้วนะพี่เห็นไหม”
อัยวาโผเข้ากอดน้องชายเอาไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มใจกับชีวิต อย่างน้อยวันนี้เธอก็ไม่ได้โดดเดี่ยวจนไม่เหลือใครข้างกายเลย ยังนึกไม่ออกถ้าไม่มีน้องชายร่วมสายเลือดมายืนอยู่เคียงข้าง ชีวิตที่สายตามันมืดบอดจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร