3 เดือนผ่านไป
ธีร์ธัชยืนอยู่ข้างเตียงนอนเด็กของลูกสาวก่อนที่เขาจะเดินทางเข้าบริษัทในเช้าวันนี้ ลูกสาวตัวน้อยที่ตัวอ้วนจ้ำม่ำ กำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องยิ้มออกมาทุกครั้งเวลาที่ได้เห็นความรักที่แสนบริสุทธิ์
ลูกสาววัยแบเบาะเป็นความวุ่นวายแปลกใหม่ที่ทำให้เขาได้สัมผัสกับคำว่าพ่อที่แท้จริง เพราะเขาต้องคอยอุ้ม ต้องคอยป้อนนมให้ลูกในทุก 3 ชั่วโมงในตอนดึก แม้จะมีพี่เลี้ยงคอยช่วยดูแล แต่เขาก็ยังอยากมีส่วนร่วมด้วย เพราะเขาคือพ่อของลูก ถึงจะเป็นพ่อที่ไม่ได้ดีมากมายอะไรก็เถอะ
ชีวิตพ่อลูกอ่อนเพิ่งมาดีขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นอนหลับได้นานขึ้น ไม่ต้องตื่นกลางดึกบ่อยเหมือนอย่างเมื่อก่อน เวลาได้มองหน้าลูกน้อยคราใดหัวใจมันก็รู้สึกผิดบาปเสมอ ลูกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของใครเลยและลูกสาวก็ทำให้ใจของเขาสั่นได้ทุกครั้งที่มองหน้า เพราะหนูน้อยอิงฟ้านับวันยิ่งหน้าเหมือนแม่มากกว่าพ่อ
“เธอคงจะเกลียดฉันมากนะอัย ถ้าเธอได้รู้ว่าอิงฟ้าคือลูกที่ฉันตั้งใจจะพรากจากเธอในวันนั้น”
เสียงพูดกับความเงียบที่มีเพียงลูกน้อยเท่านั้นที่อาจจะได้ยินคำสารภาพนี้ เขาเลือกจะตัดเธอออกไปจากชีวิตของลูกสาว เขาเลือกจะลบชื่อเธอออกจากใบเกิดลูกตั้งแต่วันแรก เขาเลือกจะให้ลูกเรียกใครอีกคนว่าแม่แทน ทั้งหมดเป็นเพราะว่าเขากลัว กลัวว่าวันหนึ่งเขาอาจจะสูญเสียทุกอย่างไป แม้กระทั่งลูกสาวตัวน้อยคนตรงหน้าก็ยังไม่อาจรู้เลยว่าจะยังมีอยู่ให้เขารักต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน
ตอนสายของวันเดียวกันหลังจากที่ธีร์ธัชออกไปทำงานแล้วเรียบร้อย วริษาเดินลงบันไดมาจากชั้นสองของบ้าน เธอเดินมาหยุดยืนมองเปลเด็กที่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขกด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะเดินไปที่เคาท์เตอร์บาร์เพื่อหยิบจับแก้วไวน์ออกมาหนึ่งแก้ว พร้อมกับรินไวน์แดงใส่ลงในแก้วใบนั้น ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบสบายอารมณ์ ทั้งที่ยังเป็นเวลากลางวันที่แดดจ้าอยู่ด้วยซ้ำ เป็นชีวิตที่แสนสุขจะสบายมากสำหรับวริษา นั่งนอนเป็นคุณนายไม่ต้องรีบออกไปทำงานหรือออกไปที่ไหน
แง้ แง้ แแง้
“โอ้ย! ร้องอีกแล้ว นี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย แหกปากทำไมฮะ!”
ก่อนที่วริษาจะก้าวขาเดินเข้าไปใกล้เปลนอนนั้นอีกครั้ง ร่างเล็กของหนูน้อยอิงฟ้ากำลังดิ้นพล่านด้วยความต้องการอะไรบางอย่าง น้ำตาเปรอะเปื้อนใบหน้าที่แดงก่ำ แต่ใบหน้าของวริษาที่ได้ขึ้นชื่อว่าแม่กลับไม่มีแววตาอ่อนโยนหลงเหลือให้ได้เห็นแม้แต่นิดเดียว
“จะเอาอะไรอีกล่ะ กินก็กินแล้ว เปลี่ยนแพมเพิสก็เปลี่ยนแล้วไม่ใช่หรือไง หรือว่าแค่เกิดมาเพื่อเป็นเด็กที่งี่เง่าเอาแต่ใจแบบนี้ฮะ?” ปากก็ยังบ่นปเรื่อยแต่ก็ยื่นมือไปหยิบขวดนมจากโต๊ะหินอ่อนข้างเปลนอนมาให้ ขวดที่คนรับใช้เตรียมไว้ตั้งแต่เช้า แต่ยังอุ่นอยู่ด้วยเครื่องอุ่นไฟฟ้าอัตโนมัติที่ได้มาตรฐาน วริษายัดจุกนมใส่ปากเด็กน้อยอย่างไม่เบามือและริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มก็ดูดกลืมด้วยความหิวโหย
“รีบกินเข้าไปเลยนะ แล้วก็รีบหลับไวไวด้วย ฉันมีนัดทำผมตอนบ่ายไม่รู้หรือยังไง”
เสียงบ่นพึมพำกับเด็กเล็กอายุเพียงแค่สามเดือนเศษ เธอพูดเหมือนว่าลูกสาวเป็นภาระ พูดเหมือนรู้ว่าเด็กน้อยไม่ใช่ลูกที่ต้องมาคอยเลี้ยงดูเอาใจใส่และทุกครั้งถ้าสามีไม่อยู่บ้านก็จะแสดงออกตรงข้ามแบบนี้เสมอ เสียงรอบข้างเงียบสงัด บ้านหลังใหญ่โตที่ไม่มีเสียงหัวเราะของคนในครอบครัว มีเพียงเสียงหอบหายใจของเด็กน้อยที่กำลังเร่งดูดนมให้อิ่มท้อง
“ผู้หญิงบางคนอาจจะร้องไห้ด้วยความซึ้งใจตอนอุ้มลูก แต่ฉันเหรอแค่เห็นหน้าก็อยากโยนแกกลับเข้าไปในท้องใครซักคนเหมือนเดิมแล้วแกรู้ไหมฮะยัยอิงฟ้า”
วริษายังคงต่อว่าดวงตากลมใสที่มองหน้าโดยไม่รู้สึกผิด แถมยังชักสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจใส่อย่างเปิดเผย เด็กหญิงตัวน้อยขยับตัวยุกยิกไปมา แก้มอวบข้างซ้ายเอียงซุกเข้ากับผ้าห่มนุ่มผืนโปรดและไม่ถึงหนึ่งนาทีก็นอนหลับสนิทไปอีดครั้งแล้ว
วริษาเบือนหน้าหนีราวกับภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เพราะชีวิตนี้ไม่เคยคิดอยากจะมีลูก ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งเลี้ยงเด็กทารกให้รำคาญตัวรำคาญใจแบบนี้เลย
“ทำไมต้องเป็นฉันที่ต้องมาเลี้ยงแก ทำไมต้องเป็นวริษา ฉันจะบ้าตาย!”
พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กวาดสายตามองบ้านที่ถูกตกแต่งราคาแพง รูปปั้นหินอ่อนจากอิตาลี พรมเปอร์เซียร์บนพื้นไม้สัก เงาสะท้อนของตัวเองในกระจกบานสูง สะท้อนภาพของหญิงสาวที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ยกเว้นความรักที่ไม่เคยได้รับจากใครจริง ๆ เลยสักครั้ง
“ฉันไม่เคยอยากมีลูก แล้วทำไมฉันต้องมานั่งเลี้ยงลูกของคนอื่นด้วย?”
วริษาหันกลับไปมองเด็กน้อยในเปลอีกครั้ง สีหน้าเย็นชานิ่งสนิท ธีร์ธัชคิดว่าเธอคงไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่ที่เขาไม่รู้เหมือนกันคือ...เธอรู้ทุกอย่างเพียงแค่ไม่โวยวายเท่านั้นเอง
“จำไว้นะ ฉันไม่ใช่แม่ของแก แกก็แค่เด็กที่ฉันต้องทนอยู่ด้วยจนกว่ามันจะไม่จำเป็นอีกต่อไป”
อีกฟากฝั่งของกรุงเทพฯ
อัยวาอยู่ในความมืดบอดและไม่มีเสียงร้องไห้ของลูกสาวที่เธอเคยอุ้มท้องให้จนคลอด เสียงลมหายใจของตัวเองในวันนี้คือสิ่งเดียวที่ยังยืนยันได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ วันนี้ไม่เหลือแสงสว่างให้มองเห็น ไม่เหลือแม้แต่เงาเลือนลางให้ใจมีความหวังได้อีกครั้งเลยสักนิด
ทำให้อัยวาหวนนึกไปถึงวันที่หมอเปิดตาออกให้ในครั้งนั้น พร้อมกับคำบอกกล่าวของหมอที่ว่า “ขอโทษนะครับคุณอัย ผมทำดีที่สุดแล้ว คุณอาจจะมองไม่เห็นไปทั้งชีวิต" เป็นคำพูดที่ยากจะยอมรับแต่สุดท้ายเธอก็ต้องยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้
ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีใครพูดถึงเด็กน้อยที่เกิดมาให้เธอได้ยินอีกเช่นกัน ไม่มีใครพาเด็กมาให้เธอกอดเลยสักครั้งเดียว แม้แต่เสียงร้องไห้ของเด็กก็ไม่มีให้ได้ยินเสียงนั้นเลยสักวัน ไม่ว่าจะตอนนั้นที่อยู่โรงพยาบาลเธอก็ไม่รู้เลยว่าหนูน้อยจะเป็นเช่นไรบ้าง ทุกคนไม่ผิดแต่ผิดที่เธอรู้สึกผูกพันกับเด็กมากจนเกินขอบเขตที่มี ผิดที่เรียกร้องอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“คุณหมอบอกว่าเด็กกลับไปอยู่กับพ่อแม่เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงพยาบาลบอกกล่าวในวันก่อนที่เธอจะออกจากโรงพยาบาล อัยวาไม่รู้แม้กระทั่งว่าพยาบาลคนนั้นสบตาเธออยู่ไหม เพราะโลกที่เคยสว่างกลายเป็นสีดำที่มองไม่เห็นอีกแล้ว ใครจะคิดว่าชีวิตจะต้องมายืนอยู่ในจุดนี้ได้
ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมา อัยวาก็กลับมาอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ข้างตลาดเหมือนเดิม เสียงรถเข็นขายน้ำเต้าหู้ เสียงรถขายปลาทูตอนเช้ายังมีอยู่ทุกวัน เสียงคนทะเลาะกันเรื่องที่จอดรถ เสียงเด็กวิ่งเล่นกันในตรอกซอกซอยวุ่นวายเต็มไปหมด ทั้งหมดกลายเป็นเสียงที่น่ารำคาญขึ้นสำหรับหญิงสาว เพราะเสียงเดียวที่เธออยากได้ยินคือเสียงร้องไห้ของลูกสาวที่เคยอุ้มท้องมานั้นต่างหาก
อัยวาไม่ได้คิดว่าเป็นแค่เพียงแม่อุ้มบุญ แต่นั่นแหละความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เพราะสุดท้ายแล้วหน้าที่ของเธอมันก็สิ้นสุดลงมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว แต่เป็น 3 เดือนที่ยังจมอยู่กับความคิดถึง ความผูกพันและคำว่าอยากเห็นหน้า แต่มันก็ไม่มีวันนั้นวันที่ฝันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้เลย
“หนูจะกินนมเก่งไหมนะอิงฟ้า 3 เดือนผ่านไปแล้วจะตัวโตขึ้นมากขนาดไหน หน้าตาน่ารักมากหรือเปล่า เหมือนพ่อหรือแม่มากกว่ากัน จะร้องไห้เก่งหรือหัวเราะเก่งกว่ากันนะลูก แต่แม่รู้ว่าหนูคงจะมีความสุข เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตครอบครัวครัวพ่อแม่ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แม่อุ้มบุญคนนี้ขอให้โลกนี้ใจดีกับหนูทุกวันนะคะ”
เพียงแค่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็ทำให้น้ำตาร่วงหล่นลงอาบแก้ม เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้เหลือเกิน เธอไม่ได้เป็นกังวลกับการเลี้ยงดูลูกของคนรวยบ้านนั้น เพราะรู้ดีว่าหนูน้อยเกิดมาในพื้นที่ที่ปลอดภัยและสมบูรณ์แบบกับทุกอย่างที่เพียบพร้อม
ทุกวันอัยวายังคงนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็ยังเปิดผ้าม่านเอาไว้ เธอไม่รู้ว่าแสงแดดวันนี้เป็นสีอะไร เธอไม่รู้ว่าท้องฟ้าวันนี้มีเมฆหมอกหรือเปล่า
อัยวาเดินคลำทางเพื่อจะไปยังตู้ไม้ที่เคยเก็บของสำคัญเอาไว้ ข้างในมีถุงผ้าใบเล็กถูกเก็บอยู่ภายในนั้น ฝ่ามือเรียวลูบสัมผัสได้ถึงเนื้อผ้าลื่น ๆ ชุดเด็กอ่อนที่เธอถักเองจากไหมพรมสีชมพู สีขาวและสีเหลือง ตอนนี้เธอมองไม่เห็นสีพวกนั้นแล้ว แต่ยังจำได้ดีเพราะเลือกมาเองอย่างตั้งใจ
อัยวาซื้อเข็มมาถักทออะไรแบบนี้ครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่ไม่เคยได้หยิบจับทำอะไรแบบนั้นมาก่อนเลยสักครั้ง มีหมวกไหมพรมใบเล็ก ถุงมือถุงเท้าและชุดเด็กแรกคลอดที่อุตส่าห์ตั้งใจทำ คิดว่าอยากให้เป็นของขวัญ เป็นของที่ระลึกสำหรับชีวิตที่เคยผูกพันกัน แม้จะรู้ดีว่าสิ่งของพวกนี้มันไม่ได้มีค่าอะไรกับบ้านคนรวยเลยสักนิด เพราะพวกเขาสามารถหาซื้อทุกอย่างมาประเคนให้กับลูกสาว แต่มันก็คงไม่เหมือนทำให้ด้วยหัวใจ แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงหัวใจที่ไร้ค่าอยู่ดี