หลายสัปดาห์ต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างสุพิชฌาย์และอาจารย์ปณัยกรก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากแค่เพื่อนบ้านตอนนี้กลายเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้ของทั้งสองคน สุพิชฌาย์แทบไม่เคยกลับบ้านไปทานอาหารเย็นเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโด ทุกเย็นหลังเลิกเรียนเธอมักจะรอคอยชายหนุ่มห้องตรงกันข้ามเพื่อชวนเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน
จากที่อยู่คนเดียวและใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอดหลายปี ชีวิตของปณัยกรก็มีสีสันมากขึ้นกลายเป็นว่าตอนนี้เริ่มชินกับเธอแล้วแต่เขาก็ยังคงเว้นระยะห่างและคิดเสมอว่าเธอก็แค่นักศึกษาคนหนึ่งและที่สำคัญคือลูกสาวเจ้าของมหาวิทยาลัยที่ตอนนี้เขามีชั่วโมงสอนที่นั่นเพิ่มมากขึ้น
เสียงเคาะหน้าห้องของปณัยกรดังขึ้นในเวลาหกโมงเย็นซึ่งเร็วกว่าปกติถึงหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มรู้ดีว่าใครอยู่หน้าประตู ปณัยกรยิ้มบางๆ ขณะเดินไปเปิดประตู
“อาจารย์ไนท์หิวหรือยังคะ” สุพิชฌาย์ในชุดนักศึกษาที่ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ยังไม่หิวเท่าไหร่เปียโนหิวแล้วใช่ไหมล่ะ ถึงได้มาก่อนเวลาแบบนี้”
“ค่ะ เมื่อตอนกลางวันหนูกินแค่ขนมปังไปเองค่ะ จะเป็นอะไรไหมถ้าวันนี้เราจะกินข้าวเร็วกว่าเดิมหนึ่งชั่วโมงอาจารย์มีธุระอย่างอื่นต้องทำหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีหรอก ไปกินตอนนี้เลยก็ได้”
“วันนี้เราจะกินอะไรกันดีค่ะ หนูหิวมากๆ เลยค่ะ” สุพิชฌาย์ยังคงพูดไปยิ้มไปเหมือนทุกครั้ง
ปณัยกรมองรอยยิ้มสดใสแล้วส่ายหัวเบาๆ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอเธอ เขาก็เห็นรอยยิ้มแบบนี้ตลอดจนบางครั้งชายหนุ่มเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้
“แล้วแต่เปียโนเลย”
“วันนี้หนูอยากกินส้มตำค่ะ อาจารย์กินได้ไหม”
“ได้สิ”
“งั้นเราไปกันเลยนะคะ หนูหิวจะแย่แล้ว”
ระหว่างทางไปร้านอาหารสุพิชฌาย์ก็ชวนเขาคุยเรื่องอยู่ตลอดทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อนส่วนปณัยกรก็ได้แต่รับฟังและยิ้มตาม
“อาจารย์ไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้หนูฟังบ้างเลยนะคะ" หญิงสาวเงยหน้าถามเมื่อเดินมาถึงร้าน
“เรื่องของผมไม่ค่อยน่าสนใจหรอก ผมว่ารีบสั่งอาหารเถอะนะ” เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวเท่าไหร่ถึงแม้จะสนิทกันมากขึ้นแล้วก็ตามและคิดว่าพูดออกไปแบบนี้แล้วสุพิชฌาย์คงจะเลิกถามแต่เขาคิดผิดเพราะหลังเธอสั่งอาหารเสร็จแล้วเธอก็ชวนเขาคุยต่อ
“หนูว่าไม่จริงหรอกค่ะ ชีวิตอาจารย์น่าสนใจออก หน้าตาหล่อ การงานก็ดีต้องมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตเยอะแน่เลยจริงไหมคะ” เธอถามแล้วจ้องตาแป๋วรอคอยคำตอบ
“ก็ไม่เยอะอย่างที่คุณคิดหรอก ผมเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไหร่”
“แล้วปกติอาจารย์ไนท์ชอบทำอะไรในวันหยุดคะ” เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ไม่เคยเห็นเขาออกไปเที่ยวไหนช่วงวันหยุดเลย
“ก็อยู่ห้อง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ”
“ไม่เบื่อแย่เหรอคะ”
“ก็มีบ้าง” ปณัยกรตอบสั้นๆ
“ถ้าอาจารย์เบื่อหนูจะเพิ่มกิจกรรมวันหยุดให้เอาไหมคะ”
“อาหารมาแล้ว เรารีบกินกันเถอะ”
สุพิชฌาย์รู้ว่าเขาเลี่ยงที่จะตอบตกลงหรือปฏิเสธนั่นอาจเป็นเพราะเธอรุกเขาหนักจนเกินไป หญิงสาวจึงเลิกเซ้าซี้และตั้งใจทานอาหารตรงหน้า แต่เธอก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตในวันหยุดของเขามีเธอเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย
“อร่อยไหมคะ เผ็ดหรือเปล่า หนูสั่งแบบเผ็ดกลางมานะคะหนูกลัวอาจารย์กินเผ็ดไม่เก่ง”
“อร่อยครับแบบนี้กำลังดีไม่เผ็ดมาก”
“อาจารย์กินส้มตำบ่อยไหมคะ”
“นานๆ ครั้ง”
“แล้วไปกินกับใครคะ”
“ก็เพื่อนอาจารย์ที่มหาลัยนั่นแหละ บางวันก็ชวนกันออกไปกินส้มตำตอนพักเที่ยง”
“หนูเดาว่าคนที่ชวนต้องเป็นอาจารย์ผู้หญิงใช่ไหมคะ”
“เดาเก่งนี่”
“เป็นใครก็เดาถูกค่ะเพราะผู้หญิงชอบกินส้มตำมากๆ” สุพิชฌาย์อยากจะถามต่อว่าในกลุ่มที่ไปนั้นมีคนไหนสนใจเขาเป็นพิเศษหรือเปล่าแต่ก็หยุดคำถามไว้ก่อน
หลังทานส้มตำเสร็จทั้งสองก็กลับห้องของตนเองแต่ก่อนนอนหญิงสาวก็มาเคาะประตูห้องเขาอีกครั้ง
“อาจารย์ไนท์นอนหรือยังคะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าเปียโนดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
“อาจารย์ไนท์คะที่ห้องอาจารย์มียาแก้ปวดท้องไหมคะ”
“เธอปวดท้องเหรอเปียโน”
“ค่ะ สงสัยจะกินอาหารรสจัดไปหน่อย”
“ไหวไหมผมพาไปหาหมอนะ” เขาถามอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาจารย์ หนูแค่อยากได้ยาแก้ปวดท้อง” สุพิชฌาย์ไม่อยากไปโรงพยาบาลเพราะถ้าเป็นแบบนั้นบิดามารดาจะต้องรู้และท่านก็คงไม่ยอมให้เธอออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้อีกอย่างแน่นอน
“แต่ในห้องผมไม่มียาอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะ คุณกลับเข้าไปรอในห้องนะ เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อที่ร้านขายยาให้ตอนนี้ร้านน่าจะยังไม่ปิด นอกจากปวดท้องแล้วมีอาการอะไรอีกไหม”
“หนูแค่ปวดท้องอย่างเดียวค่ะ”
“มีท้องเสีย อาเจียนไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“ไปรอในห้องเดี๋ยวผมจะรีบไปรีบกลับนะ”
ปณัยกรกลับเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์จากนั้นก็รีบตรงไปยังลิฟต์แล้วเดินไปยังร้านขายยาที่อยู่หัวมุม
เขาอธิบายอาการให้กับเภสัชกรประจำร้านฟังจากนั้นก็ได้ยาแก้ปวดและยาลดกรดมาจำนวนหนึ่ง เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องก็โทรศัพท์เข้าไปหาเพราะไม่อยากจะเคาะประตูเนื่องจากกลัวจะรบกวนห้องอื่น
“ได้ยามาแล้วเหรอคะ” เธอเปิดประตูออกมา
“ครับ ขอเข้าไปข้างในนะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องอธิบายถึงการทานยาให้กับหญิงสาวฟังจากนั้นก็ไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาให้
“กินยาแล้วนอนพักนะ ถ้าไม่ดีขึ้นก็โทรไปหาผมนะ ผมจะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล” เขากำชับเสียงเข้ม
“ขอบคุณนะคะอาจารย์”
“ผมจะกลับห้องก่อน อย่าลืมนะมีอะไรโทรมาหาผมได้ตลอด” ปณัยกรย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เขาเข้าใจดีว่าการอยู่คนเดียวเวลาเจ็บป่วยแบบนี้มันรู้สึกแย่แค่ไหน
“ค่ะอาจารย์”
ปณัยกรกลับมานั่งทำงานในห้องแต่ในใจก็ยังรู้สึกเป็นห่วงสุพิชฌาย์อยู่มาก เขามองนาฬิกาและเห็นว่าผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วยาน่าจะออกฤทธิ์จึงโทรศัพท์ไปหาเธอ
“ดีขึ้นไหมเปียโน นอนหรือยัง”
“หนูดีขึ้นแล้วค่ะอาจารย์แต่หนูยังไม่ง่วงเลย”
“แต่ผมว่ารีบนอนพักดีกว่านะนี่ดึกแล้ว”
“แล้วอาจารย์ล่ะคะทำไมยังไม่นอนอีก”
“เมื่อกี้ผมทำงานน่ะ แต่ตอนนี้ก็กำลังจะนอนเหมือนกัน ถ้าดึกๆ ปวดท้องต้องรีบบอกผมนะเปียโนจะได้รีบพาไปโรงพยาบาล”
“ค่ะอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะ”
เมื่อเขาวางสายไปแล้วหญิงสาวก็ยิ้มให้กับโทรศัพท์เธอไม่ได้แกล้งปวดท้องให้เขาต้องวุ่นวายแต่เธอปวดท้องจริงๆ อาจเป็นเพราะตอนกลางวันทานขนมปังไปแค่นิดเดียวแล้วเย็นนี้ยังทานอาหารรสจัดอีก แต่การที่เห็นสีหน้าของปณัยกรดูเป็นห่วงมันก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีมากและคิดว่าการทำตัวสนิทสนมกับเขาช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมามันได้ผล เธอก็เลยคิดว่าน่าจะเริ่มแผนขั้นตอนต่อไปเพื่อให้เธอกับเขาได้สนิทกันมากกว่าสถานะเพื่อนร่วมคอนโดหรืออาจารย์กับนักศึกษาอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้