‘ถ้าไม่ใช่เพราะพินัยกรรมบ้า ๆ นั่นฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่หรอก’
เป็นลูกคุณหนูใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในกรุงเทพฯก็ดีอยู่แล้ว แต่ต้องมาลำบากยากเข็ญอยู่ที่นี่ เพราะพินัยกรรมที่พ่อแม่ได้เขียนเอาไว้ ราวกับว่ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ถึงได้เขียนพินัยกรรมและส่งฉันมาอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่นี่
ไม่ใช่ไม่เสียใจหรอกนะที่อุบัติเหตุพรากทั้งครอบครัวของตัวเองไป แต่ฉันกลับไม่มีทางเลือกให้กับตัวเองเลย จะอยู่ที่นั่นต่อก็ไม่ได้ เพราะทุกคนให้เหตุผลว่า ฉันยังเด็ก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเอง
แต่ต้องมาอยู่กับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ ?
เขาเป็นผู้ชายที่ดูน่าเบื่อสุด ๆ วัน ๆ นึงก็ขลุกอยู่แต่กับงาน ชอบดุ ชอบออกคำสั่ง ชอบให้ฉันทำงานแบบนั้นแบบนี้ ทั้งที่ฉันไม่ชอบเลย และก็ทำไม่เป็นด้วย
เจ้าระเบียบโคตร ๆ !!
อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ดี ห้ามทำแบบนี้ อย่าทำแบบนั้น ฉันนี่โคตรอึดอัดเลย อยากกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองใจจะขาด แต่ติดที่ว่า ฉันไม่มีเงิน และฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงด้วย
ที่นี่เรียกว่าดงป่าเขาเลยก็ว่าได้ รถคันเดียวที่ฉันเห็นนอกจากรถเก่า ๆ ในไร่ของเขาแล้ว ก็คือรถสองแถว ที่มารับฉันไปเรียนทุกวัน
ไม่รู้ว่ามันต้องเดินทางยังไง ถ้าจะเข้าเมือง ต้องใช้เงินเท่าไหร่ เพราะเงินของฉันที่เคยได้จากพ่อแม่ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ถูกเขาจัดการหมดเลย และให้ฉันได้ใช้แค่วันต่อวันเท่านั้น
มันบ้าที่สุด !!
เป็นนางฟ้าติดปีกบินอยู่บนสวรรค์ดี ๆ แต่กลับร่วงตุ๊บลงมาแบบ ใช้ชีวิตลำบากมาก ทุกคืนทุกวันฉันได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ได้กลับบ้านเร็ว ๆ เพราะฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว
ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไป จนฉันปรับตัวไม่ทันจริง ๆ อีกทั้งยังทำใจไม่ได้เรื่องพ่อแม่ แต่ก็ต้องย้ายมากระทันหันแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ดิ่งสำหรับฉันมาก ๆ จนบางครั้งก็แอบคิดว่า หรือฉันจะต้องตายไปพร้อมกับพ่อแม่เลยดีนะ จะได้ไม่ต้องเป็นแบบนี้ แต่คิดไปคิดมา ฉันจะไม่ยอมให้ อีตานายหัวคนนี้ มาฮุบเอาสมบัติของพ่อกับแม่ฉันไปจนหมดหรอก เพราะฉันเป็นลูก ฉันมีสิทธิ์ที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อไหร่ที่ฉันโตพอ ฉันจะทวงคืนทุกอย่างมาให้หมดเลยคอยดู !!
‘แล้วจะได้รู้ฤทธิ์คนอย่างฉัน จะเล่นให้นั่งกุมขมับทุกวันเลยล่ะ ชอบวางมาดเป็นเจ้านาย และทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนงานดีนัก เดี๋ยวได้รู้กัน !!’