〝 คุณพิธาทัพและคุณหญิงเอมอรศรี เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตคาที่ ส่วนสาเหตุนั้นตำรวจกำลังเร่งสืบคดี คาดว่าจะปิดคดีได้เร็ว ๆ นี้ 〞
พิชญานิน หรือ น้ำตาล นั่งฟังข่าวนั้นอย่างซ้ำ ๆ เพราะยังทำใจไม่ได้ แม้จะจัดการเรื่องงานศพเรียบร้อยไปแล้วก็ตาม เธอไม่ยอมไปเรียน ไม่ออกจากบ้าน จนแม่บ้านที่อยู่ด้วยนั้นเริ่มเป็นห่วง เพราะขาดครอบครัวที่เธอมีอยู่หนึ่งเดียวไป ชีวิตของเธอมันเลยเหมือนตายทั้งเป็น
"คุณหนูคะ ที่โรงเรียนโทรมาถามค่ะ ว่าคุณหนูจะกลับไปเรียนไหม"
"....." เธอไม่ได้ตอบอะไรแม่บ้าน ไม่ใช่ว่าจะทิ้งการเรียนหรอกนะ แต่สภาพจิตใจของเธอตอนนี้มันยังไม่พร้อมจริง ๆ เพราะมันย่ำแย่ขนาดนี้จะให้เรียนรู้เรื่องยังไงไหวล่ะ
"อาหารเย็นเสร็จแล้ว อย่าลืมมาทานนะคะคุณหนู"
น้ำตาลหันกลับไปและพยักหน้าตอบกลับแม่บ้าน อย่างน้อยพวกเขาก็ยังดีกับเธอ และยังอยู่ที่นี่ไม่ได้พากันลาออกไป แม้เจ้านายที่คอยจ่ายเงินเดือนให้จะไม่อยู่แล้ว
ตอนนี้เธอแค่อยากได้ใครสักคนมาปลอบใจ ลูบหลังและพูดปลอบเหมือนที่แม่ของเธอทำตอนที่เธอนั้นมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า เพราะคนที่เคยปลอบใจเธอนั้นตอนนี้กลับไม่อยู่แล้ว
พยายามที่จะพาตัวเองเข้มแข็ง จะได้เดินหน้าต่อไป แต่มันก็อดคิดไม่ได้เลย เพราะเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเหมือนแผลที่ยังสดใหม่
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำใจได้และกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เมื่อไหร่
#อาทิตย์ต่อมา
น้ำตาลมาเรียนวันแรกหลังจากที่หยุดเรียนไปหลายวัน ใบหน้าของเธอซูบและคล้ำเหมือนคนอดนอนมานาน ๆ ร่างกายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ใคร ๆ ที่ได้เห็นก็มองออกว่า เธอแย่มากจริง ๆ เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นผู้หญิงที่สวยและสดใสมาก
อาจารย์ไม่ได้ว่าอะไรที่เธอนั้นหายไปเงียบ ๆ เห็นสภาพของเธอแล้วไม่มีใครต่อว่าเลย เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกและยากจะทำใจจริง ๆ
และปกติน้ำตาลก็ไม่ใช่คนชอบสุงสิงกับใครอยู่แล้ว เลยไม่ได้มีใครสนใจเธอเท่าไหร่
#ห้องปกครอง
“มาแล้วค่ะอาจารย์”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพของเธอตอนนี้หรือเปล่า ถึงได้ถูกอาจารย์เรียกพบด่วนที่ห้องปกครองแบบนี้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็จะพร้อมยอมรับมัน ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ หรือถ้ามันจะแย่กว่านี้เธอก็รับได้
“นั่งลงก่อนสิ ครูจะคุยยาวอยู่”
น้ำตาลไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอเอามือรูดกระโปรงด้านหลังและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ ตามที่อาจารย์บอก
“ครูกับครูใหญ่ได้ปรึกษากันแล้ว เรื่องของเธอ คิดว่าสภาพจิตใจและร่างกายของเธอตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะกลับมาเรียน เลยจะให้เธอพักการเรียนไปเลยหนึ่งเทอม แล้วค่อยกลับมาเรียนใหม่ แต่เธอจะจบช้ากว่าเพื่อนนะ”
“หนูไหวค่ะอาจารย์”
“แต่หน้าเธอซีด ตัวซูบผอม ข้าวปลาไม่ค่อยกิน ครูว่าพักไปรักษาตัวเองก่อน ไว้พร้อมค่อยกลับมาเรียน โรงเรียนไม่หนีไปไหนหรอก”
“…..” เธอเงียบ
“ครูเข้าใจเธอนะพิชญานิน เรื่องแบบนี้มันทำใจยาก ครูถึงให้อยากพักและรักษาตัวเองก่อน รักษาสภาพจิตใจด้วย ปรึกษาหมอจะได้รักษาถูกวิธี”
“ครูหาว่าหนูเป็นโรคจิตเหรอคะ ?” เพราะคำพูดของอาจารย์มันทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าประโยคที่ว่ามันกำลังหมายถึงเรื่องนี้
“เปล่า ๆ อาจารย์คิดว่าเธอเศร้ามาก เพราะเรื่องที่เจอมามันส่งผลกับสภาพจิตใจของเธออย่างหนัก ให้รักษาส่วนนี้เพราะถ้าเศร้ามากไปจะไม่ดีกับร่างกายเราในระยะยาวนะพิชญานิน”
“……” ประโยคที่ร่ายยาวและสาธยายไม่หยุดของอาจารย์มันทำให้เธอไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเลย กลับกันมันเหมือนเป็นคำพูดที่กำลังซ้ำเติมอยู่มากกว่า แค่ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ
ปึง !!!
“พิชญานิน” อาจารย์พูดเสียงดุ เมื่อนักเรียนของตัวเองทุบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับลุกขึ้น ทำกิริยาก้าวร้าวกับอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง สีหน้าของเธอขึงขังเหมือนคนที่กำลังไม่พอใจอย่างมาก
“เอาตามที่อาจารย์ว่าเลยค่ะ หรือจะให้ดี เอาชื่อหนูออกจากโรงเรียนเลยก็ได้ หนูจะได้ไม่กลับมาเรียนอีก” พูดจบก็จะเดินออกไป แต่ทว่าเธอก็ถูกหยุดด้วยเสียงของอาจารย์อีกครั้ง
“หยุดนะพิชญานิน เธอไม่มีสิทธิ์มาก้าวร้าวกับครูแบบนี้นะ ! ”
“ลงโทษหนูสิคะอาจารย์ ลงทัณฑ์บนเลยค่ะ หนูรู้ว่าอาจารย์อยากทำ ที่ผ่านมาแกล้งทำดีเพราะพ่อแม่หนูยังอยู่ ใช่ไหมล่ะคะ สุดท้ายอาจารย์ก็ห่วงแต่ผลประโยชน์ ชื่อเสียงของโรงเรียน อยากทำอะไรก็ทำเลยค่ะ ตอนนี้พ่อแม่หนูเขาก็ทำอะไรอาจารย์ไม่ได้แล้วนี่คะ”
“ !!! ”
เด็กสาวเดินออกมาจากห้องปกครอง ก่อนที่เธอจะคว้ากระเป๋านักเรียนและนั่งรถกลับบ้านด้วยความไม่สบอารมณ์ พอกลับมาถึงบ้านแม่บ้านก็พากันตกใจว่าทำไมเธอถึงมาก่อนเวลาเลิกเรียน แต่ก็ไม่ได้มีใครถามอะไร เพราะสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
*****************
เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เด็กสาวที่กลับมาจากโรงเรียนก็ขึ้นห้องและนอนทันที เธอรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็เพราะมีเสียงเคาะประตูดัง
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
“อือ มีอะไรคะ ?” ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูอย่างงัวเงีย
“คุณหนูคะ มีทนายมาขอพบค่ะ รออยู่ที่ด้านล่าง”
“เขาบอกไหมคะ ว่าเรื่องอะไร”
“เห็นว่าต้องเปิดพินัยกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”
“ค่ะ ๆ เดี๋ยวตาลตามลงไป”
เด็กสาวเดินกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะอาบน้ำอย่างลวก ๆ เพื่อให้หายสร่างจากอาการงัวเงีย จากนั้นก็ลงไปด้านล่างที่ห้องรับแขก
“สวัสดีครับคุณน้ำตาล ผมชื่อพิชัย เป็นทนายที่จะมาเปิดพินัยกรรมครับ”
ทุกคนที่มานั้นต่างพากันแนะนำตัวเอง แต่เธอก็ไม่ได้รู้จักอะไรหรอก เพราะปกติเวลาที่พ่อแม่ของเธอเข้างานสังคมเธอก็ไม่ได้ไปด้วยอยู่แล้ว
“สวัสดีค่ะ เชิญค่ะ”
จากนั้นทนายก็เริ่มอ่านพินัยกรรม สมบัติของพ่อแม่ทุกอย่างจะเป็นของเธอเมื่อเธอมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ แต่ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ดูแลและจัดการเรื่องมรดกจนกว่าเธอจะอายุครบ และสามารถสานต่อสิ่งเหล่านั้นได้
ขณะที่กำลังนั่งคิดอยู่ในใจ ประโยคต่อมานั้นก็ทำเอาเธอแทบหยุดหายใจเลย
“คุณพิชญานินจะต้องไปอยู่กับ นายศิวกร หรือ นายหัวคาวี เพื่อให้นายศิวกรเป็นผู้ปกครอง และดูแลจนกว่าอายุจะครบ 20 ปีบริบูรณ์ จวบจนดูแลและจัดการเรื่องทรัพย์สินในตัว มีผลตั้งแต่เปิดอ่านพินัยกรรมฉบับนี้…”
“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ?” พอฟังจบมันช็อคไปหมดเลย เขาคนนั้นคือใคร นายหัวคาวีที่ว่า คือใคร เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
“ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่พินัยกรรมถูกเขียนขึ้นมาครับ ไม่อย่างนั้นทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกบริจาคให้กับมูลนิธิต่าง ๆ ทั่วประเทศ”
“ทะ ทำไมฉันต้องไปที่นั่นด้วยคะ ?”
“สาเหตุผมไม่รู้ครับ แต่ตามกฎหมายแล้ว คุณน้ำตาลจะต้องมีผู้ปกครองครับ”
“…..” พอได้ยินแบบนั้นเธอก็ได้แต่อุทานในใจว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’ ผู้ปกครองงั้นเหรอ กฎหมายงั้นเหรอ นี่เธอโตแล้วนะ ดูแลตัวเองได้แล้วด้วย ส่วนเรื่องทรัพย์สินถ้าอายุยังไม่ถึงไม่มีสิทธิ์เข้ายุ่ง เธอไม่ค้านเลย เข้าใจได้ แต่เรื่องนี้มัน…ไม่เข้าใจจริง ๆ !!
“คุณน้ำตาลจะต้องย้ายไปอยู่กับผู้ปกครองนะครับ อยู่ที่นี่ลำพังไม่ได้”
“ที่ไหนคะ เขาคนนั้นอยู่ที่ไหน”
“ภาคใต้ครับ จังหวัด xxxx ครับ”
“แล้วเขาคนนั้นรู้หรือเปล่าคะ ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ตกใจเหรอคะที่อยู่ดี ๆ จะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ ไปอยู่ด้วย”
“ทราบแล้วครับ ทางนั้นได้ส่งทนายมาจัดการเรื่องการเรียนและทุก ๆ อย่างให้คุณน้ำตาลแล้ว คาดว่าไม่นานคงเรียบร้อยพร้อมย้าย”
“…..” ช็อคที่พ่อแม่ตาย ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก มีอะไรอีกไหมที่จะเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เธอจะได้รับเข้ามาทีเดียว เอาให้มันตายกันไปข้างนึงเลย