การทำงานวันแรกไม่หนักเท่าไหร่ ฉัตรญาดาคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปตลอดก็คงไม่มีปัญหาอะไรในเมื่อเธอเจอเจ้านายที่ใจดี มีเพื่อนร่วมงานที่น่ารักแต่สิ่งที่กวนใจหญิงสาวอยู่ตลอดก็คือใบหน้าและรอยยิ้มของซีอีโอหนุ่มที่มันคุ้นตาเหมือนกับเธอเคยเจอกับเขามาก่อน
หลังจากเลิกงานหญิงสาวก็แวะทานอาหารที่ร้านประจำก่อนจะหลับมาที่คอนโดมิเนียม
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วฉัตรญาดาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูภาพถ่ายเก่าๆ ที่ย้ายมาจากโทรศัพท์เครื่องเก่าหลายต่อหลายครั้ง เธอเลื่อนไปเรื่อยๆ ย้อนไปนานเผื่อว่าจะเจอภาพถ่ายของภคชนท์บ้างแต่ก็ไม่เจอแม้แต่ภาพเดียว
หญิงสาววางโทรศัพท์ลงก่อนจะเปิดลิ้นชักที่โต๊ะข้างเตียงแล้วหยิบกล่องขนาดเล็กขนาดครึ่งกระดาษเอสี่ขึ้นมาเปิด
ภายในกล่องมีจดหมายอยู่หลายสิบฉบับแต่หญิงสาวไม่ได้สนใจจดหมายเหล่านั้น เธอสนใจแค่ภาพถ่ายที่อยู่ด้านล่างสุดของกล่องซึ่งเป็นภาพถ่ายวันปัจฉิมนิเทศของฉัตรรวีพี่สาวของเธอ ฉัตรญาดาจำได้ว่าภาพนั้นเธอเป็นคนถ่าย
พี่สาวของเธอยิ้มหวานในมือมีช่อดอกไม้อยู่หลายช่อกับตุ๊กตาหมีอีกหนึ่งตัว ด้านข้างของพี่สาวมีเด็กหนุ่มสวมชุดนักเรียนยืนอยู่ด้วย ใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นมันคล้ายกับเจ้านายของเธอมากแต่ที่ต่างกันก็คือชื่อและนามสกุลที่ต่างกันอีกทั้งเขาคนนั้นจะมาเป็นซีอีโอบริษัทนำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ขนาดใหญ่แบบนี้
พอคิดถึงข้อแตกต่างตรงนี้ฉัตรญาดาก็เก็บภาพถ่ายและจดหมายไว้ที่เดิม ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะคิดว่าเธอลืมเรื่องราวในอดีตได้แล้วแต่อันที่จริงเธอไม่เคยลืมช่วงเวลานั้นได้เลยไม่ใช่ว่าเธอลืมไม่ลงแต่เพราะเธอไม่อยากจะลืมมันต่างหาก
ฉัตรญาดาเก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมเรียบร้อยก่อนจะหยิบข้อมูลเครื่องมือแพทย์ตัวใหม่ขึ้นมาศึกษารายละเอียด
ข้อมูลที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ส่งรายละเอียดมาให้เพราะพรุ่งนี้เธอจะไปดูเครื่องมือของจริงที่บริษัทจากอเมริกาเพิ่งส่งมาที่โกดังเก็บสินค้า เมื่ออ่านรายละเอียดของสินค้าแล้วจนเข้าใจในระดับหนึ่งแล้วหญิงสาวก็เตรียมชุดสำหรับไปทำงาน
เธอเลือกชุดทำงานเป็นกางเกงเพื่อให้ดูทะมัดทะแมงก่อนจะปิดไฟเตรียมเข้านอนแต่ยังไม่ทันได้หลับตาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“นอนหรือยังญาดา”
“ยังเลย ข้าวฟ่างไม่ยุ่งใช่ไหมถึงโทรมาหาญาดาตอนนี้ได้” หญิงสาวจำได้ว่าวันนี้เพื่อนของตนเองทำงานเวรบ่าย
“ไม่หรอกคนไข้ไม่เยอะ”
“โทรมาตอนขึ้นเวรแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”
“ก็อยากถามญาดาว่าไปทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้างเจ้านายใจดีไหม”
“เรื่องงานก็พอได้นะส่วนเจ้านายจะใจดีหรือเปล่าต้องดูกันนานๆ แต่เจ้านายไม่เป็นเหมือนที่ญาดาคิดไว้เลยนะ”
“ไม่เหมือนยังไงล่ะ”
“ก็เจ้านายอายุยังน้อยอยู่เลย ดูแล้วไม่น่าจะเกินสามสิบนะ”
“แล้วเขาหล่อไหม”
“เขาก็หล่อดีนะแต่ชอบทำหน้าเครียดไปหน่อยเขา”
“เป็นถึงซีอีโอก็ต้องมีเรื่องให้คิดเยอะแยะ เขามีแฟนหรือยังล่ะญาดา”
“ไม่รู้สิใครจะกล้าถาม”
“ถ้าเขาไม่มีแฟนญาดาก็จีบเลยสิ”
“จะบ้าเหรอข้าวฟ่างเพิ่งไปทำงานวันแรกจะให้ญาดาจีบเจ้านายตัวเองเนี่ยนะเขารู้ขึ้นมาได้โดนไล่ออกกันพอดี ญาดายังไม่อยากตกงานหรอกนะ”
“แต่คนเราทำงานใกล้ชิดกันทุกวันถ้าเขายังไม่มีแฟนมันก็มีโอกาสเป็นไปได้นะ”
“เราอย่าพูดถึงเขาแบบนี้เลย ญาดาว่าผู้ชายหน้าตาดีอาชีพการงานดีแบบนี้คงไม่โสดหรอก ญาดาไม่อยากเป็นเมียน้อยของใครหรอกนะ”
“ข้าวฟ่างก็แค่ล้อเล่นน่ะ ใครจะให้เพื่อนไปเป็นเมียน้อยคนอื่นกัน สวยๆ อย่างญาดาไม่จำเป็นต้องใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่นหรอก”
“แล้วที่โทรมาหาญาดาคือจะถามแค่เรื่องไปทำงานอย่างเดียวใช่ไหม”
“ไม่ใช่สักหน่อยเรื่องสำคัญคือเรื่องที่ข้าวฟ่างกำลังจะเล่าต่อจากนี้ต่างหากล่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอข้าวฟ่างทำไมทำเสียงตื่นเต้นจัง”
“ก็มันน่าตื่นเต้นจริงๆ นี่ ญาดาจำหมอเมธินทร์ได้ไหม”
“ลูกชายของหมอทรงเกียรติเจ้าของโรงพยาบาลใช่ไหม”
“ใช่ตอนนี้หมอเขาเรียนจบกลับมาแล้วนะ”
“เขาต่อเฉพาะทางด้านไหนเหรอข้าวฟ่าง” ฉัตรญาดามีโอกาสทำงานร่วมกับคุณหมอเมธินทร์อยู่หลายเดือนก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อเฉพาะทาง
“หมอเขาไปเรียนศัลยกรรมน่ะ แต่ที่ข้าวฟ่างตื่นเต้นไม่ใช่เพราะหมอเรียนจบหรอกนะ”
“แล้วตื่นเต้นเพราะอะไรกันล่ะ อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจมาชอบหมอแล้ว” ฉัตรญาดารู้ว่านริศราไม่ชอบคนอาชีพนี้เท่าไหร่เนื่องจากบิดาของเธอมีอาชีพเป็นหมอและไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัวเพื่อนของเธอเคยพูดไว้ว่าจะไม่เลือกคนอาชีพนี้มาเป็นคู่ครองอย่างเด็ดขาด
“เลิกคิดเรื่องนั้นไปเลยที่ตื่นเต้นก็เพราะเขาไปเรียนถึงสามปีแต่เขาไม่เคยลืมใครที่นี่เลย เขาทักทายทุกคนได้ถูกต้องและที่สำคัญเขาถามถึงญาดาด้วยนะ”
“ไม่เห็นน่าตื่นเต้นตรงไหนเลยข้าวฟ่างบอกเองว่าเขาจำทุกคนได้พอเขาไม่เจอญาดาเขาก็เลยถามถึงไงล่ะ”
“มันก็ใช่นะแต่เขาทำหน้าผิดหวังตอนที่ข้าวฟ่างบอกว่าญาดาลาออกไปแล้ว ข้าวฟ่างว่าหมอเขายังไม่เลิกชอบญาดานะ”
“แต่ญาดาก็เคยบอกเขาไว้แล้วว่าญาดาไม่คิดอะไรกับเขา ข้าวฟ่างอย่าพยายามเปลี่ยนแม่สื่ออีกเลยนะ”
ก่อนที่คุณหมอเมธินทร์จะไปเรียนต่อเขามีท่าทีว่ากำลังจีบฉัตรญาดาโดยมีนริศราเป็นคนช่วยสนับสนุนแต่ฉัตรญาดาไม่เคยมองเขาเป็นคนอื่นนอกจากเพื่อนร่วมงาน
“ข้าวฟ่างก็แค่อยากให้ญาดามีแฟนหมอ เขาไม่มีอะไรเสียหายเลยนะ หน้าตาก็หล่อเป็นถึงลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบเขา”
“แต่ญาดาไม่ชอบนี่”
“งั้นขอถามอีกข้อก่อนวางสายนะ”
“ถามมาสิ”
“ระหว่างหมอเมธินทร์กับเจ้านายของญาดาใครหล่อกว่ากัน”
“ก็หล่อพอกันแหละหมอเขาหล่อขาวเหมือนหนุ่มเกาหลีส่วนเจ้านายของญาดาหล่อเข้มดูดีกันไปคนละแบบ”
ฉัตรญาดาคุยกับนริศราอีกไม่กี่ประโยคก็วางสาย
การที่นริศราพูดถึงหมอเมธินทร์วันนี้ทำให้เธอนึกย้อนไปเมื่อสามปีก่อนในวันที่คุณหมอหนุ่มนัดเธอออกมาทานอาหารตามลำพัง เขาสารภาพว่าชอบเธอและให้แล้วจะมาฟังคำตอบหลังจากเรียนจบแต่หญิงสาวก็บอกไปตั้งแต่วันนั้นว่าเธอไม่คิดอะไรกับเขาและไม่อยากให้เขาต้องรอ
หมอเมธินทร์ไม่มีข้อเสียให้เธอต้องปฏิเสธเลยแต่เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายในแบบที่เธอชอบ ฉัตรญาดาไม่ชอบผู้ชายที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบเหมือนกับคุณหมอที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวยเธอกลัวความแตกต่างและกลัวเขาจะไม่เข้าใจชีวิตของเธอซึ่งมันไม่สวยหรูชีวิตที่ครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบมีครอบครัวแตกแยก
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเธอยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัวหรือมีคนรักเพราะที่ผ่านเธอเห็นว่าความรักของบิดา มารดารวมถึงความรักของพี่สาวมันล้มเหลวเลยไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปในวังวนนั้น ฉัตรญาดาขอใช้ชีวิตคนเดียวไปแบบนี้ดีกว่าแม้จะเหงาบ้างแต่เธอยังมีงานและมีเพื่อน หญิงสาวกลัวความรักที่มันมาพร้อมกับความทุกข์และอาจเปลี่ยนหรือทำร้ายชีวิตของใครบางคนที่เธอเคยรู้จักไปตลอดกาล