ณหทัยลากสังขารมาโรงพยาบาลรัฐ กว่าจะจัดการกรอกเอกสารเสร็จก็ทุลักทุเลไม่น้อย ด้วยสภาพที่เหลือแขนใช้งานได้เพียงข้างเดียว ยิ่งเห็นคนไข้ที่รอเข้ารับการรักษาแน่นขนัดเต็มพื้นที่จนไม่เหลือที่นั่ง เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำใจแล้วว่ากว่าจะได้รักษากว่าจะกลับบ้านคงกินเวลาเกินครึ่งวัน
เธอมองหาที่เหมาะๆ เดินไปหลบมุมยืนอยู่ให้ห่างจากผู้คนสักหน่อย กันคนที่เดินไปเดินมากระแทกให้เจ็บจนน้ำตาร่วง แค่นี้ก็ปวดไหล่ลามร้าวไปทั้งแขนชาดิกจนหมดแล้ว เธอหลับตาข่มความปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาเป็นระยะ ปลอบใจตัวเองว่าเจ็บแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก เธอชาชินแล้ว เดี๋ยวเธอก็ผ่านมันไปได้เหมือนทุกทีนั่นละ
“คุณณหทัยใช่มั้ยคะ”
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ลืมตามองนางพยาบาลที่หยุดยืนเรียกตนพร้อมรอยยิ้ม พยักหน้ารับอย่างงงๆ
“ค่ะ”
“เชิญตามฉันไปพบคุณหมอที่แผนกกระดูกค่ะ”
“ถึงคิวของฉันแล้วเหรอคะ” เธอขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ ยืนรอยังไม่ถึงสิบนาทีเลยนะ นางพยาบาลเรียกคนผิดรึเปล่า
“วันนี้มีคนเข้ารับการรักษาแผนกกระดูกน้อยค่ะ คุณก็เลยได้พบคุณหมอไว”
ณหทัยพยักหน้าเข้าใจในคำบอกกล่าวของนางพยาบาล แล้วเดินตามหล่อนไปยังห้องตรวจอีกอาคารหนึ่งที่ดูจะหรูหราเกินกว่าเงินในกระเป๋าเธอ เธอแตะแขนพยาบาลแล้วถามซ้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ
“ที่นี่เหรอคะ” มองอย่างไรก็เหมือนรักษาผู้ป่วยระดับไฮเอนซ์เสียมากกว่า
“ค่ะ วันนี้คุณหมอเข้าเวรที่ตึกนี้ค่ะ”
นางพยาบาลยิ้มแล้วเปิดประตูห้องตรวจเดินนำเข้าไป โดยที่ณหทัยไม่มีโอกาสได้ซักถามอีก ภายในห้องมีนายแพทย์วัยกลางคนหน้าตาใจดีนั่งยิ้มรออยู่ พอเห็นเธอปุ๊บก็แทบจะวิ่งเข้ามาอุ้มนอนลงบนเตียงทันที
“ไปโดนอะไรมาครับ”
“โดนหมามันฟัดมาค่ะ” ณหทัยกัดฟันตอบ ยังแค้นคนทำไม่หาย หาได้มองสีหน้าที่พลันซีดเผือดของนายแพทย์ใหญ่สักนิด มือที่สำรวจแขนเธออยู่ชะงักสั่นเล็กน้อย ยิ่งระมัดระวังจับอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าถ้าเผลอทำเธอเจ็บ ชีวิตเขาจะหาไม่ก็คราวนี้
“โชคดีที่กระดูกไม่หลุดออกจากเบ้า มีอาการบวมที่เกิดจากไหล่ซ้นเท่านั้น แต่ไม่มีการผิดรูป หมอจะให้ยาระงับปวดและใส่ที่คล้องแขนเอาไว้เพื่อลดการเคลื่อนไหวนะครับ แล้วอาทิตย์หน้าเรากลับมาเอกซเรย์ดูกันอีกทีว่าเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่อักเสบตรงข้อต่อหัวไหล่เข้าที่แล้วรึยัง ระหว่างนี้ถ้ายังปวดอยู่สามารถใช้น้ำแข็งประคบเย็นร่วมด้วยก็ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ณหทัยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก กระตุกยิ้ม ไม่รู้ควรจะสาปแช่งหรือเยาะเย้ยในความโหดร้ายอย่างครึ่งๆ กลางๆ ของเพลิงครามดี ที่ยังอุตส่าห์ยั้งแรงไม่กระชากแขนเธอขาดหลุดติดมือไปด้วย
หญิงสาวค้อมศีรษะเดินออกจากห้องตรวจ โดยไม่รับรู้ว่าที่อีกฟากของฉากกั้นมีใครบางคนนั่งฟังผลการตรวจของเธออยู่ด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าของร่างกำยำลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตรแอบมองคนเจ็บที่ค่อยๆ พยุงแขนข้างที่เจ็บเพราะฝีมือเขาเดินจากไป ดวงตาก็พลันมืดมน มีร่องรอยสั่นไหวตามคลื่นอารมณ์ที่อ่อนไหว
ระหว่างที่เมษยาเปลี่ยนชุด ใจเขาว้าวุ่นแปลกๆ เอาแต่คิดถึงคนชังอย่างณหทัยจนไม่เป็นอันทำอะไร กังวลว่าเธอจะเจ็บปวดหรือเป็นอะไรร้ายแรงมากรึเปล่า เขาทนอยู่เฉยไม่ไหวจนต้องสั่งให้คนไปตามเฝ้าดูเธอไม่ห่าง ทันทีที่ได้รับรายงานว่าณหทัยนั่งแท็กซี่มาโรงพยาบาล แถมท่าทางก็ดูไม่ค่อยดีเหมือนจะเจ็บแขนมาก เขาก็บึ่งรถตรงมาที่นี่โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่สนใจแม้แต่เมษยาที่เป็นคนรักตัวจริงของเขาด้วยซ้ำ
“รักษาเธอให้ดีที่สุด” เขากำชับนายแพทย์ผู้ชำนาญด้านกระดูกที่ถูกเรียกตัวด่วนให้มารักษาณหทัยเป็นกรณีเฉพาะ
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ทางเราจะดูแลเธอไม่ให้มีข้อผิดพลาดแน่นอนครับ”
“ดี!”
“จะให้แจ้งมั้ยครับว่าคุณเพลิงครามได้ออกค่ารักษาพยาบาลให้เธอเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่ต้อง หาข้ออ้างไม่ให้เธอสงสัยก็พอ”
“ได้ครับ”
เพลิงครามเดินผ่านหน้านายแพทย์ใหญ่ที่ค้อมตัวอย่างนอบน้อมไปอย่างผ่าเผย ไม่ได้กลับทันทีที่หมดธุระ เขาเดินต่อไปยังห้องทำแผลที่นางพยาบาลกำลังใส่ที่คล้องแขนให้คนเจ็บอยู่ ลอบมองณหทัยที่นั่งนิ่วหน้าพยายามกัดฟันทนเจ็บ ใจเขาก็พลอยวูบโหวงปวดหนึบตามไปด้วย
แวบหนึ่ง...เท้าของเขามันอยากจะก้าวเข้าไปให้หาเธอ ยืนกุมมือคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ
แต่จะเข้าไปในฐานะอะไรล่ะ?
ณหทัยประกาศกร้าวว่าเกลียดเขา ไม่อยากยุ่งเกี่ยวและห้ามเข้าใกล้เธอเป็นอันขาด เขาเองก็ใช่ว่าจะชอบเธอนักหนา การอยู่ให้ห่างๆ กันไว้จึงเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตกปากรับคำว่าจะหมั้นหมายกับเมษยาไปแล้ว เขาเลือกหล่อนแล้วก็ควรมั่นคงหนักแน่น
เมษยาทั้งอ่อนแอและอ่อนไหว เปราะบางเกินกว่าที่เขาจะทิ้งให้เผชิญโลกตามลำพังโดยไม่เหลียวแล เขาควรอยู่เคียงข้างหล่อน ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์อันดีที่ผ่านมาหลายปีของเรา คงจะกลายเป็นแค่เรื่องตลกอย่างที่ณหทัยหัวเราะเยาะน่ะสิ
“ถือว่าฉันได้ชดใช้ที่ทำไม่ดีกับเธอไปหมดแล้ว เราไม่มีอะไรติดค้างหรือเกี่ยวข้องกันอีก” เพลิงครามฝากสายลมไปถึงคนในห้องที่ไม่รับรู้การมีอยู่ของเขา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างเย็นชา