“ขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษที่จริงๆ ค่ะคุณผู้หญิง” บริกรสาวละล่ำละลักบอก กลัวจนแทบจะก้มกราบกราน ลนลานรีบหาผ้ามาเช็ดให้เธอ แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะมากกว่าเดิม ณหทัยถอนหายใจยืดยาวปัดมือหล่อนออกอย่างสุภาพ เอ่ยเสียงเรียบว่า
“ไม่เป็นไร เปรอะไปแล้วก็ช่างมันเถอะ”
หญิงสาวมองตัวเองในสภาพมอมแมมอย่างไม่ใส่ใจ อย่างไรเธอก็ตั้งใจจะกลับอยู่แล้ว แต่เมษยาที่ยังไม่ทันเดินไปไหนกลับรีบเอื้อมมือมาฉุดรั้งมือเธอเอาไว้ หล่อนร้องวี้ดว้ายเสียงดังราวกับกลัวว่าใครจะไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น
“ว้าย! เกิดอะไรขึ้นน่ะหม่อน ทำไมชุดถึงได้เลอะเทอะแบบนี้ ใครทำ”
ณหทัยขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าเมษยาจะขึ้นเสียงไปทำไม กะอีแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง
“ไม่มีอะไร เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
หล่อนฟังเธอเสียที่ไหน หันไปตะคอกถามบริกรสาวทันควันว่า
“ฝีมือเธอใช่มั้ย ที่ทำให้น้องสาวของฉันอับอายแบบนี้”
บริกรสาวยืนปากสั่นตัวสั่นงันงกอย่างทำอะไรไม่ถูก ณหทัยอดเห็นใจจนออกตัวแทนไม่ได้
“ไม่ใช่ความผิดของน้องเขาหรอก ฉันเดินไม่ดูเองต่างหาก เธอก็เลิกโวยวายน่ารำคาญสักที ฉันจะกลับแล้ว ถึงชุดจะเลอะก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ได้ไงล่ะ หม่อนเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวนะ ควรจะอยู่เป็นเพื่อนเมย์จนงานเลิกสิ จริงมั้ยคะพี่คราม”
คนที่จู่ๆ ก็ถูกเมษยาดึงหาพวกยืนนิ่งดูดาย เพลิงครามไม่อยากเอาตัวไปพัวพันกับณหทัยอีกเพราะตั้งปณิธานไว้แล้ว แต่สายตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นรอยชุดชั้นในที่ดันตัวออกมาจนน่าเกลียด ทำเอาเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
เมื่อครู่ตอนที่เขานั่งอยู่ในพิธีหมั้น ใครๆ ก็ชมกันเปาะว่าคู่หมั้นของเขาทั้งสวยทั้งอ่อนหวานไม่มีใครเทียบ แต่เขากลับไม่มีกะจิตกะใจมองเมษยาชัดๆ เลย เพราะสายตาคมลึกเอาแต่มองตามหญิงสาวร่างอรชรในชุดเพื่อนเจ้าสาวเย้ายวนเว้าแผ่นหลัง อวดผิวเนียนขาวและส่วนสัดอ่อนช้อยดุจกวีตวัดลายพู่กัน แม้จะมีผ้าพันเคล็ดห่อหุ้มหัวไหล่อยู่ แต่ไม่อาจลดทอนความเย้ายวนชวนมองไปได้เลย
เขายังนึกขัดใจว่าผ้าราคาแพงนักรึไง ถึงได้ตัดชุดออกมาเว้าโน่นโชว์นี่ นอกจากจะไม่มิดชิดปกปิดแล้ว ยังมีแต่ขาดกับขาดจนน่าเผาทิ้งนัก ยิ่งเห็นเหล่าชายจ้องณหทัยจนตาถลนน้ำลายหกไปหมด ในใจก็ยิ่งงุ่นง่านเหมือนหมาบ้าที่อยากจะกัดคนไม่เลือกหน้า
“ไม่ต้องไปห่วงเธอหรอก ถ้าเธออยากโชว์ก็ตามใจ”
ถึงอยากจะพุ่งเข้าไปถอดสูทพันตัวเธอเป็นมัมมี่ไม่ให้ใครเห็น แต่เพลิงครามก็ต้องหักใจ เลือกจะพ่นคำร้ายๆ ใส่ มองเหยียดหญิงสาวแทนที่จะเผยถึงความห่วงใย เธอจะได้รู้สึกตัวและระมัดระวังมากกว่านี้ รีบไปหาชุดเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย
ณหทัยก้มมองตัวเองแล้วตกใจ น้ำซึมเข้าเสื้อบางแจ๋วทำให้เห็นเนินอก จึงรีบยกมือขึ้นปิดตามสัญชาติญาณ ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มอะไรเป็นพิเศษขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความอับอาย จู่ๆ ก็เกิดทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเพลิงครามเห็นในเธอสภาพนี้นานรึยัง เห็นไปถึงไหนแล้ว คงเห็นจนหมดไม่เหลืออะไรให้น่าสนใจแล้วมั้ง
หญิงสาวแทบอยากจะขุดหลุมมุดดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ไม่รู้จะอยู่สู้หน้าเขาอย่างไร แถมไม่อยากฟังคำแดกดันว่าเธอจงใจอ่อยเขาด้วย เธอจึงหันหลังเดินหนีไปทั้งๆ อย่างนั้น แต่ถูกเมษยาวิ่งเข้ามาดักหน้านำเสื้อสูทของคู่หมั้นหนุ่มมาคลุมตัวให้เธออย่างเห็นใจ
“ออกไปแบบนี้ดูไม่ดีนะหม่อน คลุมเสื้อของพี่ครามไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเมย์จะสั่งให้คนไปเอาชุดใหม่มาให้เปลี่ยน”
ณหทัยไม่ได้ซาบซึ้งกับความมีน้ำใจของเมษยา แต่เธอไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ จำต้องพยักหน้ารับ แค่นี้เธอก็อายจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรแล้ว ขืนเดินโทงๆ ออกไปล่อสายตาบรรดาเสือหิวทั้งแบบนี้ละก็ เธอยอมกัดลิ้นตายดีกว่า
เมษยายิ้มอ่อนโยน หันไปสั่งบริกรสาวว่า
“พาคุณหม่อนไปที่ห้องรับรองแขก ให้คนรีบเตรียมชุดใหม่สำหรับเธอด้วย ดูแลคุณหม่อนให้ดีๆ อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องเข้าใจมั้ย”
“ขอบใจ” ณหทัยพูดอย่างขอไปทีแล้วเดินนำลิ่ว ไม่อยู่มองรอยยิ้มปลอมๆ ของเมษยาหรือคู่หมั้นที่ยืนหน้าดำเป็นถ่านให้เสียอารมณ์ ในใจคิดว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเมื่อไร เธอจะกลับทันที ต่อให้เมษยาเอาช้างมาฉุดทั้งโขงเธอก็ไม่อยู่
เดินไปสักพักณหทัยก็นิ่วหน้า รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวร้อนอบอ้าวแปลกๆ ไม่ได้เพราะอากาศ แต่ร้อนจากข้างในตัวเธอต่างหาก เธอโบกมือพัดไล่ความร้อนแต่ร่างกายกลับยิ่งร้อนรุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ร้อนราวกับเดินอยู่บนกะทะที่ตั้งไฟ แข้งขาเริ่มอ่อนแรง ร่างกายโงนเงนหูตาพร่ามัว อาการวิงเวียนคลื่นเ**ยนตีตื้อขึ้นมาจนทรงตัวไม่อยู่
“ชะ ช่วยด้วย...” ณหทัยเปล่งเสียงร้องเบาหวิวขอความช่วยเหลือจากบริกรสาว เมื่อร่างกายผิดปกติทวีความร้อนจนหัวใจเต้นแรงระส่ำ จนน่ากลัวว่าอาจจะหัวใจวายตายได้ทุกเมื่อ สายตากวาดมองไปทั่วอย่างขวัญเสียด้วยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ไม่พบใครเลยสักคน บริกรสาวที่มาด้วยกันก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?