bc

รักกลางครรภ์

book_age18+
101
ติดตาม
1K
อ่าน
ครอบครัว
จบสุข
รักเพื่อน
พ่อเลี้ยง
ดราม่า
ความลับ
like
intro-logo
คำนิยม

ผมมันก็แค่...."ของเหลือเดน” ชีวิตและร่างกายแปดเปื้อนด้วยมลทิน ราคีและกลิ่นคาว ใครล่ะจะอยากลดตัวลงมาเพื่อยุ่งเกี่ยวกับคนอย่างผม ?

ผมมันก็แค่.... “ของเหลือเดน” ชีวิตและร่างกายแปดเปื้อนด้วยมลทิน ราคีและกลิ่นคาว ใครล่ะจะลดตัวลงมาเพื่อยุ่งเกี่ยวกับคนอย่างผม

เมื่อชีวิตมันผิดพลาด เพราะหลงเชื่อคำคนหลอกลวง “ป้อน”  เด็กหนุ่มหน้าใส นัยน์ตาซื่อ จำใจหอบเอาความทุกข์ และความเจ็บช้ำเพราะถูกคนรักหักหลังย่ำยีหัวใจ หนีเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ

เพราะการศึกษาอันน้อยนิดและต้นทุนชีวิตที่แทบไม่มีอะไรเหลือเลย ป้อนมารับจ้างทำงานเป็นเด็กล้างจาน กวาดร้านคอยทำความสะอาดในบาร์เพื่อแลกที่ซุกหัวนอนกับอาหารสามมื้อ

“เธอล้างจานจนมือเน่าก็ได้เงินแค่วันละสามร้อย แต่นอนกับฉันแค่คืนเดียวเธอสามารถหาเงินหมื่นได้ แล้วถ้าทำดีเธออาจจะได้มากกว่านั้นก็ได้นะ”

“บนเวทีข้างหน้านั่นมีคนยืนต่อคิวเพื่อรอนอนกับคุณตั้งมากมาย คุณไม่ควรมาเสียเวลากับเด็กล้างจานอย่างผม” ผมเหลือบตาขึ้นไปมองผู้ชายหน้าฝรั่งแต่พูดภาษาไทยชัดเจนตรงหน้าอีกครั้ง

“ฉันได้พวกมันมาหมดแล้ว...เหลือแค่เธอ...”

“............”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกยื่นข้อเสนออันเย้ายวนชวนให้ผมไขว่คว้าเดินเข้าไปหาความสุขสบาย แต่ผมรู้ว่าเบื้องหลังเงินทองที่กองอยู่ตรงหน้ามีกับดัก กลลวง ล่อหลอกให้ผมเดินไปตกหลุมพรางได้เสมอหากไม่ระวังตัว เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมเคยต้องเจ็บเจียนตายเพราะผู้ชายที่ลวงผมด้วยคำว่า "รัก"

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
ตอนที่ 1 หนี
ตอนที่ 1 หนี เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ราวกับเทวดาฟ้าดินจะโกรธเกลียดรังแก คนอย่างผม ทันทีเมื่อผมก้าวขาลงมาจากรถไฟ ซึ่งมันหอบพาเอาคนไร้ค่าอย่างผมซานซมมาจนถึงกรุงเทพมหานคร โดยที่ผมไม่ต้องเสียเงินสักบาทเพราะมันมีไว้สำหรับบริการประชาชนคนชั้นล่างอย่างผม แบบฟรีๆ ผมหยิบกระดาษสีขาวซึ่งฉีกมันออกมาจากสมุดเรียนวิชาสังคมศาสตร์หน้าที่ยังว่างอยู่เพราะผมใช้จดบันทึกวิชาเรียนไม่หมดก่อนจบเทอมสุดท้าย บนหน้ากระดาษซึ่งมีรอยยับนั้นผมจดที่อยู่ของรุ่นพี่คนหนึ่งเอาไว้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ตอนที่เขากลับไปเที่ยวบ้าน ที่ต่างจังหวัดแล้วผมได้มีโอกาสพูดคุยกัน กรุงเทพมหานครคือเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ที่ผมไม่เคยก้าวเท้าเหยียบมาก่อน ที่นี่ดูทุกอย่างสับสนวุ่นวายไปหมดและยิ่งยากขึ้นเมื่อผมต้องมายืนติดอยู่ตรงป้ายรถเมล์กับน้ำท่วมสูงถึงครึ่งหน้าแข้ง ในช่วงค่ำซึ่งฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาต้อนรับผม ผมหันไปถามคนที่ยืนตากฝนจนตัวเปียกอยู่ข้างๆ ถึงการเดินทางเพื่อไปตามที่อยู่ซึ่งผมจดเอาไว้และผมได้รับคำแนะนำให้เดินทางด้วย “รถเมล์ฟรี” ซึ่งมันเบียดเสียดยัดเยียดกันอย่างน่ากลัว ผมยืนมาบนรถเมล์ซึ่งมีผู้โดยสารแออัดเบียดกันจนแทบหายใจไม่ออก ท่ามกลางการจราจรที่แทบไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าการขึ้นรถเมล์มันเร็วกว่าการเดินด้วยเท้าตรงไหน ผมยืนเมาไปกับกลิ่นเหงื่อ กลิ่นตัว กลิ่นน้ำหอมของคนเมืองจนแทบหายใจไม่ออก “เอ็นเอสไนท์ บาร์” ผมยกแผ่นกระดาษยับๆ นั้นขึ้นมาแล้วแหงนหน้าอ่านทวนป้ายไฟด้านบนอีกครั้ง หลังจากใช้ความพยายามฝ่าฟันความกล้าๆ กลัวๆ ถามคนนั้น คนนี้มาตลอดทางในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าบาร์แห่งหนึ่ง ตัวตึกเป็นคล้ายๆ อาคารพาณิชย์สูงสี่ชั้น มีป้ายไฟขนาดใหญ่ติดเป็นชื่อบาร์เหมือนอย่างในกระดาษที่ผมถืออยู่ สภาพเนื้อตัวของผมเวลานี้มันเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า กระเป๋าเป้สะพายหลังชุ่มไปด้วยน้ำ ตอนนี้ฝนหยุดแล้วเหลือแค่ละอองฝอยเล็กๆ เท่านั้น “เอ่อ...ขอโทษครับ ผมมาหาพี่กบ” ผมเดินตัวเปียกไปยืนแหงนคอคุยกับผู้ชายใส่ชุดเสื้อยืดกางเกงยีนสีดำสองคนท่าทางน่ากลัว ตรงประตูทางเข้า “กบไหน ที่นี่ไม่มีคนชื่อกบ” “แต่...พี่กบบอกว่าทำงานอยู่ที่นี่...เอ่อ นี่ไงครับผมมีที่อยู่พี่เขาให้ผมไว้” “นี่ไอ้น้องหลบไปไกลๆ อย่ามาเกะกะทางเข้าร้าน" ผู้ชายหน้าดุคนเดิมยื่นมือมาผลักผมให้ถอยออกไปด้านข้าง “พี่...แต่ว่าเขาบอกว่าเขาทำงานที่นี่จริงๆ นะ” “ถ้าเพื่อนน้องทำงานที่นี่ก็ลองโทรถามเพื่อนสิให้เขาออกมารับแล้วนี่อายุถึงสิบแปดแล้วหรือยัง หัวยังเกรียนอยู่เลย อย่ามายืนแถวนี้เดี๋ยวร้านพี่ก็ซวยหรอก” คนหน้าดุจับไหล่ผมแล้วเหวี่ยงผมออกมา อีกเป็นครั้งที่สอง ผมใช้โทรศัพท์มือถือกดเบอร์ตามที่รุ่นพี่ได้เคยให้ผมไว้แต่ไม่มีคนรับสาย ผมไม่รู้จะไปทางไหนดีเพราะใจกลางเมืองหลวงใหญ่โตนี้ ผมรู้จักเพียง “พี่กบ” รุ่นพี่โรงเรียนเก่าซึ่งเข้ามาหางานทำในกรุงเทพและเคยออกปากชวนผมให้มาเที่ยวหาได้ที่กรุงเทพเพียงคนเดียวเท่านั้น ผมเพิ่งเรียนจบมัธยมปลายจากโรงเรียนประจำจังหวัด ในภาคเหนือของเมืองไทย โดยแรกเริ่มทีเดียวผมก็เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ใฝ่ฝันอยากเรียนต่อในรั้วมหาวิทยาลัยแต่เพราะเหตุการณ์บางอย่างทำให้ผมต้องละทิ้งความฝัน ละทิ้งบ้านเกิดเพื่อมุ่งหน้าเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ ผมนั่งมองผู้คนหลายร้อยคนเดินหลั่งไหลหายเข้าไปภายในบาร์แห่งนี้ ซึ่งมันเป็นจุดหมายปลายทางที่ผมตั้งใจมาหาพี่กบ ผมนั่งรออยู่บนทางเท้าหน้าร้านตรงส่วนที่มันเป็นลานจอดรถ จนความหิวเล่นงานผมอย่างหนักเพราะตั้งแต่ขึ้นรถไฟมาเมื่อเช้าผมมีเพียงข้าวเหนียวไก่ย่างราคาถูกยัดใส่เข้าไปภายในกระเพาะผมเท่านั้น ตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์มือถือของผมแบตของมันขึ้นขีดสีแดงและตัวเลขบอกเวลา ว่ากำลังจะเที่ยงคืนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ความกระวนกระวายวิตกทำให้ผมนั่งไม่ติดเพราะผมยังไม่สามารถติดต่อพี่กบได้ ผมตัดสินใจส่งข้อความเข้าไปยังเบอร์โทรศัพท์ของพี่กบเพื่อบอกให้รู้ว่า ผมมาถึงกรุงเทพแล้วและจะนั่งรออยู่ตรงนี้เพื่อรอให้พี่กบมารับ แต่ทุกอย่างยังคงเงียบหายไม่มีการตอบรับหรือโทรกลับมาจากรุ่นพี่ของผม จนกระทั่งนักเที่ยวกลางคืนเริ่มทยอยเดินกลับออกมาจากร้าน รถยนต์เกือบทั้งหมดถูกขับหายออกไป จนลานจอดรถที่ผมนั่งอยู่ไม่เหลือรถยนต์แม้แต่คันเดียว ป้ายไฟด้านหน้าซึ่งบอกชื่อร้านเอาไว้ ถูกปิดลง “พี่...” ผมวิ่งแบกกระเป๋าไปดักหน้าผู้ชายตัวโตสองคนซึ่งกำลังจะเดินหายเข้าไปภายในร้าน “เฮ้ย นี่ยังไม่กลับอีกหรือไงวะ” พี่ผู้ชายชุดดำหน้าดุหันมาถลึงตาใส่ผม “ตกลงว่าพี่รู้จักพี่กบมั้ย ผมขอร้องล่ะเขาบอกว่าเขาทำงานที่นี่จริงๆ นะ ผมมาจากต่างจังหวัดพี่เข้าไปบอกเขาให้หน่อยว่าผมรออยู่ข้างหน้า” “บอกว่าไม่มีคนชื่อกบ ทำไมพูดไม่รู้เรื่องวะ” ผู้ชายหน้าดุตะคอกใส่ผมเสียงดังก่อนจะสะบัดแขนแล้วเดินเข้าไปด้านในทิ้งให้ผมยืนสับสนอยู่เพียงลำพัง ผมยกโทรศัพท์มือถือของผมออกมาทันได้เห็นหน้าจอของมันดับพรึบไปต่อหน้าต่อตา ผมไม่กล้าเดินไปไหนเพราะกลัวว่าถ้าพี่กบอ่านข้อความแล้วเดินมาหาผมจะไม่เจอ ผมถอยกลับไปนั่งรออยู่บนหมอนคอนกรีตกั้นล้อรถตรงหน้าประตูทางเข้าออกร้าน เพื่อหวังว่าอย่างน้อยถ้าพี่กบเลิกงานแล้วเดินออกมาจะได้เห็นผมในทันที แต่ไม่มีใครเดินออกมาจากประตูกระจกทึบบานนี้แม้แต่ผู้ชายหน้าดุสองคนนั้นก็หายไปเลย เวลานี้ไม่เหลือใครแล้ว ไฟทุกดวงถูกดับลง ผมนั่งคุดคู้ดึงหัวเข่าตัวเองขึ้นมากอดเพื่อช่วยให้ตัวเองรู้สึกอุ่นขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เสียงท้องร้องอุทธรณ์ขอความเห็นใจจากผมเพราะมันคงต้องการอาหาร ผมกวาดสายตาหันไปรอบตัวเห็นป้ายร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินแบนๆ ของตัวเองออกมาแล้วใช้นิ้วมือเล็กเขี่ยๆ ขอบธนบัตรภายในนับดูเป็นครั้งที่ร้อย ผมมีเงินติดตัวอยู่ไม่ถึงห้าร้อยบาทและไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าผมต้องเจอกับอะไรบ้างความหิวเพียงแค่นี้คงไม่ฆ่าผมให้ถึงกับตาย เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่ดังสนั่นจนผมสะดุ้ง ฝนที่เพิ่งขาดเม็ดไปดูเหมือนมันจะซ้ำเติมผมอีกครั้ง ลมพายุพัดซัดมาจากทุกทิศทางผมลุกขึ้นจากแล้ววิ่งเข้าไปหลบฝนอยู่บริเวณหน้าร้านซึ่งพอมีชายคาให้ผมหลบฝน ตึง! ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ มีเสียงดังขึ้นมาจากภายในร้าน ซึ่งด้านในปิดไฟมืดสนิท ผมแนบสายตาจ้องฝ่าความมืดเข้าไปด้านในแต่ก็มองอะไรไม่เห็นเลย ตึง! อีกครั้งเสียงนั้นดังมาจากด้านในแน่ๆ ผมรวบรวมความกล้าแล้วเดินไปชะโงกหน้าตรงด้านข้างซอกตึกเล็กๆ ก่อนจะเดินเลาะไปจนถึงจุดทิ้งขยะซึ่งมีถังขยะใบใหญ่กว่าตัวผมวางเรียงกันอยู่หลายใบ ข้างๆ นั้นเป็นประตูกระจกบานหนึ่งมีสติ๊กเกอร์แปะเอาไว้เป็นชื่อของบาร์แห่งนี้ ตึง! อีกครั้ง เสียงนั่นอีกแล้วผมเอื้อมมือไปดึงประตูกระจกนั้นแล้วออกแรงดึงมันอย่างกล้าๆ กลัว “ไม่ได้ล็อกเหรอ” ผมหันซ้ายหันขวาแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ กลิ่นเหม็นอับ เหม็นเปรี้ยว คลุ้งไปทั่วจนผมต้องยกมือมาปิดจมูก ภายในห้องนี้ไม่ได้มืดสนิทเสียทีเดียว ผมยืนนิ่งๆ สักพักเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืดด้านใน แสงสีเขียวสว่างสะท้อนอยู่ด้านข้างผนัง ผมเดาว่ามันคงเป็นสวิตช์ไฟ จึงตัดสินใจเดินไปใกล้แล้วกดเปิดมันเพียงหนึ่งดวงอย่างเดาสุ่ม ตึง ตึง ตึง จี๊ด ผมสะดุ้งขนหัวลุกซู่ทันทีเมื่อไฟสว่างขึ้นกลางห้อง หนูตัวเท่าแมวสามสี่ตัววิ่งพล่านไปทั่วห้องมีอยู่ตัวหนึ่งมันเหยียบกับดักกาวเข้า ทำให้มันลากเอาถาดกาวไปชนกับซิงค์ล้างจานจนเป็นที่มาของเสียงตึงๆ ที่ผมได้ยินเมื่อครู่ “อะไรเนี่ย” ผมกวาดสายตาไปรอบห้อง ที่นี่เหมือนจะเป็นห้องครัวหรือห้องเก็บของอะไรสักอย่างแต่มันสกปรกจนน่าอ้วก มีเศษขยะ เศษอาหารเต็มไปหมด จาน ชามใช้แล้วถูกวางทิ้งระเกะระกะเกลื่อนห้อง ผมต้องยกมือขึ้นมาอุดปากเพราะผมรู้สึกคลื่นไส้จนทนไม่ไหวจริงๆ ห้องครัว ถึงจะรกไปหน่อยแต่ก็พอมองออกว่ามันคือห้องสำหรับใช้ปรุงอาหาร จานใช้แล้วกองเท่าภูเขาถมอยู่ในซิงค์ขนาดใหญ่ แก้วน้ำ แก้วเหล้า ทรงสวยๆ หลายแบบวางเรียงเป็นร้อยๆ ใบ ผมขยับเท้าเดินเข้าไปยืนอยู่หน้าตู้แช่หลังใหญ่แล้วเอื้อมมือเปิดมันออก ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยของสดมากมาย ไส้กรอก แหนม เบคอน เยอะจนละลานตา ทันทีที่สายตาของผมรับภาพอาหารเข้าสู่สมอง ท้องของผมมันก็ร้องประท้วงอย่างดุเดือด ผมรับรู้ถึงการบิดตัวของลำไส้น้อยๆ แทบจะทันที “ของกินเยอะเลย” ผมยกมือขึ้นมากุมหน้าท้องตัวเองแล้วหมุนตัวมองไปทั่วห้องครัวแคบๆ อีกครั้งก่อนจะปิดประตูตู้แช่เอาไว้ตามเดิม ผมเดินลึกเข้าไปพ้นประตูอีกบานเป็นทางเดินแคบๆ จนไปถึงส่วนของร้านด้านใน โต๊ะ เก้าอี้ วางระเกะระกะ ถังน้ำแข็งแก้วเหล้า ขวดเหล้า ขวดเบียร์ บางส่วนไม่ได้ถูกเก็บออกจากโต๊ะ ผมหมุนตัวมองไปรอบๆ ไม่มีใครเหลืออยู่เลยสักคนเดียว “นี่ไม่คิดจะเก็บร้านกันเลยอย่างนั้นเหรอ” ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่งด้านหน้าเวที บนโต๊ะกลางด้านหน้านั้นมีจานออเดิร์ฟถูกวางทิ้งเอาไว้ อาหารเหลือทิ้งเกินกว่าครึ่งมีทั้งไส้กรอกทอด ถั่วลิสง แหนม แล้วอะไรวางเคียงๆ กันอีกสองสามอย่าง “กินของเหลือแบบนี้ ไม่ถือว่าขโมยใช่มั้ย” ผมหันคอมองไปรอบตัวอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบของบนจานยัดใส่ปากด้วยความหิวโหย เพียงไม่กี่นาทีของเหลือเดนทุกอย่างที่คนมีเงินกินทิ้งกินขว้างเอาไว้ก็ถูกผมกินจนเกลี้ยง ผมทำแบบเดียวกันกับอาหารอีกสองสามจานที่ถูกวางเหลือทิ้งเอาไว้ แล้วเดินเก็บจานและแก้วเข้าไปเก็บในครัวเพื่อชดเชยแทนค่าเศษอาหารที่ผมกินเข้าไปเมื่อครู่ ผมยืนชั่งใจอยู่นานกับสภาพห้องครัวอันทุเรศตา ก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆ นั่นคือจัดการล้างถ้วย ล้างจาน และทำความสะอาดห้องครัวโดยใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง และใช้เวลาสิบนาทีในการเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำเล็กๆ ภายในห้องครัว ผมรื้อกระเป๋าหยิบสายชาร์ตโทรศัพท์ออกมาแล้วเห็นว่าสายชาร์ตมันเปียกฝนเพราะกระเป๋าเป้ใบเก่าของผมมันไม่ได้หนามากพอที่จะปกป้องสิ่งของที่มันห่อหุ้มเอาไว้ เสื้อผ้าของผมด้านในเปียกชื้นไม่มีเหลือ รวมถึงสายชาร์ตโทรศัพท์ด้วย ความพยายามในการชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือของผมหมดลงเมื่อประกายไฟลุกพรึบขึ้นมาขณะที่ผมพยายามเสียบปลั๊กไฟ สายชาร์ตโทรศัพท์ของผมควันขึ้นโขมงพังคามือ มันยิ่งซ้ำเติมความหนักใจให้กับผมเพราะผมจะหาหนทางติดต่อพี่กบได้ยังไง ผมจัดการรื้อเอาเสื้อผ้าเพียงสองสามชุดซึ่งเปียกชื้นนั้นออกมาแล้วเปิดพัดลมตัวใหญ่ในครัว เพื่อช่วยเป่าให้เสื้อผ้านั้นแห้งเร็วขึ้น “ผม...ถือว่าผมทำงานแลกกับอาหารและที่พักคืนนี้แล้วนะ” ผมพูดกับอากาศในห้องก่อนจะนั่งพนมมือไหว้อะไรก็ได้ที่จะช่วยเป็นพยานให้ว่าผมไม่ได้คิดไม่ดีหรือทำเรื่องชั่วๆ ผมแค่ต้องการที่ซุกหัวนอนในคืนนี้เพราะผมหมดหนทางจะไปแล้วจริงๆ ผมใช้โซฟาตัวยาวเป็นที่นอนเพียงแค่ผมนอนหลับตาความรู้สึกทุกอย่างของผมก็ถูกดูดให้จมหายเข้าไปว่ายวนอยู่กับฝันร้ายอีกครั้ง “ฮึก ฮึก” ผมสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นมาจากโซฟาหันไปมองรอบตัวซึ่งมีเพียงความว่างเปล่าวังเวง เมื่อมั่นใจว่ารอบๆ ตัวของผมเวลานี้ไม่มีใครอื่น นอกจากผมเพียงคนเดียว เสียงสะอื้นที่ผมกลั้นเก็บเอาไว้เพียงในฝันก็ระเบิดออกมาในทันที “ฮืออออออ” เสียงสะท้อนของความเจ็บปวดจากการเป็นผู้ถูกกระทำ ความเจ็บช้ำที่ผมแบกหอบมันเอาไว้ไหลทะลักออกมาเป็นสายน้ำเย็นๆ ตรงบริเวณหัวตาอย่างไม่ขาดสาย พื้นที่ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างหลายสิบตารางเมตรมีเพียงเสียงร้องไห้ของผมดังก้องสะท้อนไปมาในความเงียบสงัด เสียงซึ่งโหยหวนชวนให้เวทนา ความทรงจำบางอย่าง......เวลาไม่อาจลบมันออกไป ความทรงจำบางอย่าง......ระยะทางไม่อาจทำให้ความเจ็บนั้นจางลง ความทรงจำบางอย่าง......ยิ่งเราพยายามจะลืม มันก็เหมือนจะยิ่งแจ่มชัดขึ้นกว่าเดิม ผมนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนโซฟาตัวใหญ่ หัวใจที่คิดว่ามันทนต่อความเจ็บได้เพราะความเคยชิน แต่ยามนี้หัวใจอันเน่าเหม็นฟอนเฟะเละด้วยน้ำมือของคนที่ผมรัก มันกำลังกลัดหนองบวมช้ำและซ้ำเติมให้ผมเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง แค่ลำพัง.....เพียงแค่ผม ที่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง “อ๊ากกกกกก”

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

ไฟผลาญ

read
1K
bc

ผมรักนายmy bad boy (Mpreg)

read
1.6K
bc

ขยับเพื่อนเลื่อนเป็นรัก

read
1K
bc

Light in the Dark เปลี่ยนร้ายให้เป็นรัก

read
1K
bc

ตราบมนตรา

read
1.1K
bc

ตรวนใจนายหัว

read
1.3K
bc

หนุ่มร้อนรัก

read
2.0K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook