ตอนที่ 3 Morning Kiss
“ไปยกกระเป๋าฉันลงจากรถแล้วขนขึ้นไปให้ฉันบนห้องด้วย” คุณเนลสันยกยิ้มริมฝีปากคู่หนาให้ผมพร้อมกับยื่นกุญแจรถมาตรงหน้า
“เอ่อ...ครับ”
ผมเอื้อมมือไปหยิบพวงกุญแจรถหรูมาจากเจ้าของร้านฝรั่งแล้วเดินออกไปทางหน้าร้านตรงส่วนที่เป็นลานจอดรถแต่ผมไม่เห็นจะมีรถจอดอยู่เลยแม้แต่คันเดียว ผมออกมาชะโงกหน้าแล้วเดินวนหาจนรอบร้านก็ไม่เห็น
“ไหนล่ะรถ ไปจอดอยู่ไหนเนี่ย”
หลังจากเดินวนหารถยนต์ยี่ห้อเดียวกับพวงกุญแจในมือไม่พบ ผมจึงตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งเพื่อถามให้แน่ใจว่ารถที่ คุณเนลสันบอกนั้นมันจอดอยู่ตรงไหน
ผมเดินขึ้นไปตามบันไดเพื่อขึ้นไปถึงชั้นสองมันเป็นส่วนหนึ่งของร้านนี้เพราะมีห้องกระจกกั้นเป็นห้องวีไอพีหลายห้อง ผมเดินต่อขึ้นไปชั้นสามมันถูกปิดไฟจนมืดสนิท ยังมีบันไดให้ขึ้นไปชั้นสี่แต่มันก็มืดจนน่ากลัวผมไต่บันไดไปอย่างช้าๆ แล้วเห็นแสงไฟสลัวๆ ลอดออกมาจากช่องใต้ประตูบานหนึ่ง จึงเดาว่านั่นน่าจะเป็นห้องของคุณเนลสัน ผมยกมือขึ้นไปเคาะบานประตูไม้เบาๆ บานประตูถูกดึงให้เปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้องในสภาพที่ทำเอาผมต้องรีบหันหลังกลับทันทีเพราะคุณเนลสันออกมาเปิดประตูให้ผมทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีผ้าผ่อนติดตัวสักชิ้นเดียว
“กระเป๋าฉันล่ะ” เสียงเจ้าของร่างเปลือยถามหากระเป๋าเดินทางจากผม
“เอ่อ...ผมหารถของคุณไม่เจอครับ”
“เวลาพูดกับฉัน หันหน้ามาหาฉัน ไม่ใช่หันหลัง”
“ก็แล้ว...ทำไมคุณเนลสันไม่ใส่เสื้อผ้าให้มันดีๆ ก่อนมาเปิดประตูล่ะครับ” ผมไม่ได้หันหน้าไปตอบเจ้าของบาร์เพียงแค่เอี้ยวหน้าไปพอได้เห็นเงาของคนตัวสูงแวบๆ เท่านั้น
“ฉันต้องใส่เสื้อผ้าด้วยอย่างนั้นเหรอ...หันหน้ามาคุยกับฉัน” ฝ่ามือหนาคว้าเหนี่ยวหัวไหล่ของผมให้หมุนตัวหันกลับไปหา
เมื่อจำเป็นต้องหันมาเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า ผมต้องแหงนหน้าขึ้นไปแล้วจับสายตาไว้กับดวงตาคู่สีน้ำตาลทอง โดยไม่สนใจอวัยวะส่วนอื่นๆ ของผู้ชายฝรั่งตัวโตและเมื่อครู่ผมเห็นแล้วว่าคนสัญญาติฝรั่งนั้นมันโตไปเสียทุกส่วน
“ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอว่าฉันจอดรถเอาไว้หลังร้าน”
“ฮะ หลังร้าน...คุณไม่ได้บอกผม”
“ขอโทษที ถ้าอย่างนั้นตอนนี้รู้แล้วนะ ลงไปเอากระเป๋ามาสักทีฉันจะได้ใส่เสื้อผ้า”
ผมต้องวิ่งกลับลงมาแล้วเดินเลาะข้างตึกเพื่ออ้อมไปด้านหลังร้านแล้วจึงเห็นว่ารถยนต์สัญชาติยุโรปคันหรูถูกจอดเอาไว้ในโรงจอดรถอย่างดี ผมจัดการแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จากลานจอดรถ ไต่บันไดขึ้นมาจนถึงชั้นสี่แล้วมายืนหอบอยู่หน้าบานประตูไม้บานเดิม
ผมยกมือขึ้นเคาะให้สัญญาณคนที่อยู่ด้านในอีกครั้งแล้วรีบหันหลังกลับเพราะไม่อยากเห็นคนไม่ยอมใส่เสื้อผ้า
“ฉันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ”
“ก็คุณไม่ยอมใส่เสื้อผ้านี่ครับ” ผมยื่นแขนไปด้านหลังเพื่อส่งคืนกุญแจรถให้กับเจ้าของ
“รู้อะไรมั้ยป้อน ว่ามีคนยอมจ่ายเงินหลักล้านเพื่อให้ได้เห็นฉันแก้ผ้า”
“ผมไม่มีเงินล้านจ่ายให้คุณหรอกนะครับ อีกอย่างผมไม่ได้อยากเห็น...คุณแก้ผ้าด้วย” ผมรีบวิ่งลงบันไดโดยไม่ได้เหลียวหลังไปดูคนด้านหลัง
“พรุ่งนี้เช้าแปดโมงขึ้นมาปลุกฉันด้วย” เสียงทุ้มห้าวตะโกน ไล่หลังผมก่อนที่ผมจะวิ่งลงมาถึงชั้นลอย
ผมกลับมานอนขดอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ สายตาจับอยู่กับตัวเลขดิจิตอลสีแดงบอกเวลาตีสามครึ่ง ก่อนที่จะมีภาพซ้อนเป็นแผงอกของคุณเนลสันซ้อนทับขึ้นมา อย่างน้อยตอนนี้ผมก็สบายใจว่าผมไม่ได้ตกอยู่ในสถานะที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไปแล้ว นับจากนาทีนี้ผมมีงานทำ มีที่ซุกหัวนอนและมีอาหารสำหรับประทังชีวิตแล้ว
ผมกลับขึ้นมายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่อีกครั้งเมื่อช่วงใกล้เวลาที่คุณเนลสันบอกว่าให้ขึ้นมาปลุก ผมยืนเคาะประตูอยู่ประมาณห้านาทีแต่ไม่มีสัญญาณว่าคนข้างในจะตื่น ผมโน้มตัวเอาหูแนบกับประตูเพื่อตั้งใจฟังว่าหลังบานประตูนี้มีเสียงความเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่าแต่ทุกอย่าง เงียบกริบ.....
“คุณเนลสันครับ” ผมเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อคนที่อยู่ด้านในไปด้วย ทุกอย่างมีเพียงความเงียบเท่านั้นที่โต้ตอบกับผม
ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูซึ่งมันไม่ได้ล็อกก่อนจะเปิดผลักเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาว ยะเยือกพอๆ กับตอนผมเปิดตู้แช่ในห้องครัวลอยมาปะทะผิวเนื้อ จนผมขนลุกไปหมด ผมโผล่หัวเข้าไปในห้องแล้วหันมองไปจนรอบห้องนอนสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง บนเตียงนอนหลังใหญ่มีร่างของผู้ชายตัวโตนอนยาวเหยียดอยู่ไม่ไหวติง
“คุณเนลสันครับ” ผมเอ่ยปากร้องเรียกเจ้าของห้องอีกครั้งแต่คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ กลับมา ผมยืนมองร่างเกือบเปลือยของคุณเนลสันแล้วชั่งใจว่าผมควรเดินไปปลุกใกล้ๆ หรือผมควรจะตะโกนอยู่ตรงนี้ดี ผมหันซ้ายหันขวาแล้วเห็นไม้เบสบอลด้ามยาววางพิงอยู่ตรงมุมห้อง ผมเดินไปหยิบไม้เบสบอลซึ่งทำจากเหล็กมาถือด้วยมือสองข้าง
“คุณเนลสันครับ” ผมยื่นเอาปลายไม้เบสบอลไปสะกิดหลังคนที่นอนหลับสนิทจนผมคิดว่านอนตายอยู่บนเตียง
“..............” เงียบกริบไม่ไหวติง
“คนอะไรจะนอนขี้เซาขนาดนั้น...คุณเนลสันครับ แปดโมงแล้วนะครับ”
เงียบกริบเหมือนเดิม...ผมยื่นไม้เบสบอลไปทิ่มแผ่นหลังเปลือยสีขาวนั้นอีกครั้ง แต่คนที่นอนหันหลังให้ผมก็ยังนิ่งอยู่ ไม่มีท่าทีว่า จะรู้สึกตัวเลยสักนิด ผมขยับก้าวขาเดินอ้อมเตียงนอนหลังใหญ่มายืนมองเสี้ยวหน้าของฝรั่งตัวโตซึ่งนอนหลับสนิทอย่างน่ากังวล
“คุณเนลสัน” ผมยกไม้เบสบอลขึ้นมาจิ้มไปตรงท่อนแขนที่ใหญ่พอๆ กับขาผม แต่ทุกอย่างไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองผมกลับมาเลย
“หลับหรือตายเนี่ย” ผมขยับก้มลงไปมองเสี้ยวหน้าคมนั้นชัดๆ ก่อนจะยื่นมือใช้นิ้วชี้เล็กๆ ของผมไปอังตรงปลายจมูกโด่งเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเจ้าของบาร์ยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า
“ฉันยังไม่ตาย”
“อ่าว” ผมสะดุ้งจนหดมือกลับมาไม่ทันเมื่อเจ้าของห้องยืนยันว่าตัวเองยังไม่ตายทั้งที่คุณเนลสันไม่ได้ลืมตา
“เธอปลุกให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือยังไง” เสียงคนแกล้งหลับพูดกับผม
“แต่...ผมก็ปลุกดีแล้วนี่ครับ ถ้าอย่างนั้นผมลงไปข้างล่างนะครับ” ผมยืนพูดกับคนที่ยังไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมามองผม
“เธอจะลงไปได้ยังไงฉันยังไม่ตื่นเลย”
“แต่...คุณก็ตื่นแล้วนี่ครับ คุณพูดกับผมได้”
“ฉันยังไม่ลืมตา”
“ถ้าอย่างนั้น...คุณก็ลืมตาสิครับ”
“เป็นหน้าที่ของเธอที่จะทำให้ฉันลืมตา” คุณเนลสันขยับตัวนอนหงายกางแขนกางขาแต่นัยน์ตาคู่นั้นยังปิดสนิทเหมือนเดิม
ฝ่ามือสองข้างถูกดึงไปรองท้ายทอยซ้อนทับกับหมอนนุ่ม แผงอกเปลือยเปล่าอวดหัวนมสีน้ำตาลอ่อนเด่นอยู่สองจุด ไล่ต่ำลงไปกว่านั้นคือหลุมสะดือจุ่นกับไรขนสีน้ำตาลทองเหมือนสีผมของคนตัวใหญ่ ระยะห่างประมาณหนึ่งคืบคือกางเกงบ็อกเซอร์เนื้อบางตรงกลางนูนตุงขึ้นมานิดๆ ผมต้องรีบเบือนสายตาตัวเองหลบออกไปให้ไกลจากสรีระของเจ้านายฝรั่ง
“คุณก็แค่ลืมตา เท่านั้นเองนี่ครับ” ผมยืนบ่นกับคนที่นอนขี้เซาแล้วตัดสินใจยื่นไม้เบสบอลออกไปข้างหน้าอีกครั้ง
“อ้า” ตัวผมปลิวตามแรงฉุดเมื่อคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคว้าเอาไม้เบสบอลของผมไป แล้วออกแรงฉุดอย่างแรงจนผมซึ่งยืนจดๆ จ้องๆ อยู่ข้างเตียงถลาล้มลงไปหน้าคะมำทิ่มใส่อกเปลือยของคนตัวเย็น
“แค่ปลุกฉันง่ายๆ แค่นี้ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วย”
“คุณก็ตื่นง่ายๆ สิครับ อันที่จริงคุณก็ตื่นแล้วยังจะให้ผมมาปลุกอีกทำไม”
ผมพยายามใช้แขนยันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนแต่มือสองข้างของผมถูกยึดครองคีบค้างเอาไว้ด้วยฝ่ามือหนา ส่วนขาที่ใหญ่ราวกับท่อนซุงตวัดขึ้นมาก่ายทับสะโพกของผมกดเอาไว้จนผมต้องนอนคว่ำค้างอยู่ข้างลำตัวของคุณเนลสัน
“ฉันจะตื่นลืมตาทันทีถ้าเธอปลุกฉันดีกว่านี้”
“ปลุกดีกว่านี้เหรอ...ยังไงครับ”
“เธอไม่รู้จักมอร์นิ่งคิสเหรอป้อน” คุณเนลสันถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับวางฝ่ามือลงมาลูบสะโพกผมช้าๆ
“รู้จักแต่...ผมไม่จูบกับคุณนะ” ผมเบี่ยงตัวพยายามเอาสะโพกหลบฝ่ามือหนาใหญ่โตนั้น
“ถ้าไม่จูบแล้วฉันจะตื่นได้ยังไง”
“ปล่อยผม ผมทำงานเป็นแค่เด็กล้างจาน มาปลุกได้แต่ไม่จูบ”
“ไม่ได้บอกให้จูบ แค่มอร์นิ่งคิส”
“อื้ออออ” ผมอ้าปากงับลงไปบนไตเนื้อสีเข้มตรงหน้าอกข้างหนึ่งของ คุณเนลสันแล้วใช้ฟันกัดลงไปแรงๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจถึงกับจะกัดให้มันขาดแค่อยากให้คนถูกกัดสะบัดผมให้หลุดออกจากตัวเท่านั้น แต่ผมคงประเมินเจ้านายฝรั่งพลาดไปหน่อยเพราะคุณเนลสันไม่ได้สะบัดผมให้หลุดจากตัวแต่กลับเหวี่ยงผมลงไปนอนแผ่กับเตียงแล้วพลิกขึ้นมาคร่อมผมไว้แทน
“นี่เธอกล้ากัดฉันเหรอป้อน”
“ผม....มอนิ่งคิส...ต่างหาก”
“มอนิ่งคิสอย่างนั้นเหรอ ดีเลย” ผมทันเห็นสายตาแวบหนึ่งของคุณเนลสันก่อนความรู้สึกเจ็บแปลบจะแล่นเข้ามาตรงซอกคอผม
“โอ๊ยเจ็บ คุณเนลสันเจ็บ” ผมหนีบซอกคอตัวเองเบี่ยงหลบเขี้ยวคมๆ ของคนตัวใหญ่ซึ่งกัดลงมาบนต้นคอผมอย่างแรง
“นี่มอนิ่งคิสของฉัน” คุณเนลสันยิ้มให้ผมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วลงมายืนอยู่ข้างเตียงนอน ผมผุดลุกขึ้นมายกมือขึ้นมาตะปบคอตัวเองตรงตำแหน่งที่ถูกกัดเมื่อครู่รู้สึกแสบๆ ไม่หาย
“จากนี้ไปเธอต้องมาปลุกฉันทุกวันแลกกับอาหารแล้วก็ที่พักตกลงมั้ย”
“ผมมาปลุกคุณก็ได้แต่ไม่มอนิ่งคิสนะ”
“ไม่ชอบมอนิ่งคิสของฉันเหรอ”
“ไม่ชอบ...” ผมรีบวิ่งหนีออกมาจากห้องทันทีรู้สึกเหมือนตัวเองมีความปลอดภัยลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้เจ้าของบาร์ เจ้าของบ้าน